เทศกาลคริสต์มาสเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและวัฒนธรรมของชาวคริสต์นับล้านทั่วทุกมุมโลก และถึงแม้ว่าวันคริสต์มาสจะไม่ใช่เทศกาลหรือประเพณีของชาวพุทธในไทย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายปี ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้า, ร้านอาหาร รวมถึงร้านคาเฟ่ต่าง ๆ ก็มักจะตกแต่งสถานที่ ด้วย ไฟประดับ, สายรุ้งตกแต่ง, ต้นคริสต์มาส, การสวมชุดแซนต้าและแซนตี้ หรือการเปิดเพลงวันคริสต์มาสเพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้กับเทศกาล และเนื่องจากวันคริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มักจัดต่อเนื่องไปถึงเทศกาลปีใหม่ด้วยเสมอ จึงไม่แปลกใจเลยหากจะมีคนไทยบางกลุ่มที่รู้สึกฟินและเอ็นจอยร่วมกับเทศกาลเป็นพิเศษ
แต่นอกเหนือจากบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นของเทศกาลคริสต์มาสแล้วนั้น สำหรับชาวตะวันตกหรือกลุ่มคนที่นับถือศาสนาคริสต์ถือว่าวันคริสต์มาสมีความสำคัญมาก ๆ เพราะวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันคล้ายวันประสูตรของพระเยซูเจ้า ศาสดาของศาสนาคริสต์ ไม่เพียงแค่เฉลิมฉลองและเฝ้ารอของขวัญจากคุณลุงซาตาคลอส แต่ชาวคริสต์ยังมีการแลกเปลี่ยนของขวัญ, อวยพรซึ่งกันและกัน, เข้าโบสถ์ และร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของเทศกาลคริสต์มาส
ก่อนจะมาเป็นเทศกาลคริสต์มาส
สำหรับเทศกาลคริสต์มาสมีมายาวนานหลายพันปีก่อนคริสต์กาลแล้วค่ะ เพียงแต่คนในยุคนั้นไม่ได้เรียกเทศกาลนี้ว่าวันคริสต์มาส เพราะตอนนั้นยังไม่มีการถือกำเนิดของพระเยซูและยังไม่มีศาสนาคริสต์ แต่ชาวยุโรปในสมัยนั้นจะจัด เทศกาลแห่งแสง เพื่อฉลองให้กับแสงสว่างในวันเหมายันหรือวันที่มีช่วงเวลากลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน เนื่องจากซีกโลกเหนือจะอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์อากาศจะหนาวเย็นและมีหิมะตกติดต่อกันเป็นเวลานานจนกระทั่งโลกจะหมุนมาจนเจอดวงอาทิตย์อีกครั้ง ชาวยุโรปหรือชาวตะวันตกจึงจัดงานเฉลิมฉลองให้กับแสงสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ความมืดมิดที่อาจจะกินเวลาถึง 24 ชั่วโมงต่อวัน
การเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาส

ชาวตะวันตกแต่ละประเทศจะมีเหตุผลในการเฉลิมฉลองในช่วงฤดูหนาวแตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าชาวคริสต์จะจัดงานคริสต์มาสขึ้นทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปีเพื่อระลึกถึงพระเยซู ชาวโรมันในอดีตจะใช้ช่วงเวลานี้ในการเฉลิมฉลองวันแซทเทอร์นาเลียหรือเทพเจ้าแห่งดาวเสาร์ตามเทพนิยายโรมันซึ่งเป็นเทพแห่งการเกษตร ในวันนี้ผู้คนทุกชนชั้นจะมีความเท่าเทียม เหล่าทาสจะได้รับอิสระภาพตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มและได้รับปฏิบัติเทียบเท่าชนชั้นสูง ส่วนชาวเยอรมันมักจะหมกตัวอยู่ภายในบ้านตลอดช่วงฤดูหนาว เพราะมีความเชื่อกันว่าช่วงเวลานี้เทพเจ้าโอดินจะสอดส่องดูและประชาชนและเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของผู้คนว่าจะรุ่งหรือร่วงในปีต่อไป
15 เมนูในวันคริสต์มาส ที่ฝรั่งนิยมทานมากที่สุด
เมื่อถึงฤดูหนาว เราจะเห็นว่าชาวตะวันตกมักจะจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างใหญ่โตอลังการ มีการร้องเล่นเต้นระบำ มีเมนูอาหารมากมายเสิร์ฟแทบจะตลอดเวลา และประดับประดาไฟจนสว่างไสวแทบจะทุกตรอกซอกซอย หรืออาจจะมีการก่อกองไฟเอาไว้ตลอดเวลาเพื่อความอบอุ่น เนื่องจากฤดูหนาวแทบจะไม่มีแสงแดดทำให้มีหิมะตกหนักและอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา
นอกจากนี้ก่อนเข้าฤดูหนาวพืชผักและสัตว์ต่าง ๆ จะถูกฆ่าและเก็บเนื้อไว้ก่อนที่ความหนาวจะกัดกินทุกอย่างจนขาวโพลน ทำให้ในช่วงเวลานี้ชาวตะวันตกจะมีเสบียงเยอะมากพอที่จะทานได้ตลอดฤดูหนาวหรืออาจจะมีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีไวน์ที่หมักไว้ตั้งแต่ต้นปี ก็เรียกว่าเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวตะวันตกตลอดฤดูหนาวเช่นกัน เนื่องจากเป็นเวลาที่เหมาะเจาะแก่การดื่มมาก ๆ เพราะแอลกอฮอล์จะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
สำหรับเมนูอาหารหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ฝรั่งนิยมทานกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาสก็ค่อนข้างมีหลายเมนูเลยค่ะ หากเพื่อน ๆ อยากรู้วัฒนธรรมด้านอาหารของต่างชาติในวันคริสต์มาสว่าจะมีเมนูไหนบ้างที่ได้รับนิยมมากที่สุด ในวันนี้เราก็มีเมนูอาหารวันคริสต์มาสมาฝากเพื่อน ๆ กันด้วยค่ะ หากพร้อมแล้วดูกันเลยค่ะว่ามีอะไรบ้าง ?!
ไก่งวงอบ (Roast Turkey)
เนื้อสัตว์อบถือเป็นอาหารจานหลักในค่ำคืนสุดพิเศษ ชาวคริสต์ในยุคแรก ๆ จะนำเนื้อห่าน, หงษ์ หรือนกยูงที่ได้จากการล่าสัตว์มาอบและรับประทานเพื่อฉลองวันคริสต์มาสเนื่องจากไก่และวัวเป็นสัตว์ที่ให้ผลิตได้ทุกวัน หากนำมารับประทานอาจจะทำให้มีอาหารไม่เพียงพอ ต่อมาในสมัยกลางศตวรรษที่ 20 ไก่งวงที่เป็นสินค้านำเข้าก็กลายมาเป็นวัตถุดิบหลักในเมนูนี้แทนเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ และได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
ไก่งวงตัวโตเนื้อแน่นจะถูกนำไปอบพร้อมกับเครื่องเทศจนมีกลิ่นหอมและเนื้อนุ่มละมุน กัดลงไปจะเจอกับหนังแผ่นบางกรอบนิด ๆ กับเนื้อไก่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของเครื่องเทศตะวันตกอย่างโรสแมรี่, ไธม์ หรือพาสลีย์พร้อมกับความฉ่ำนุ่ม กลิ่นหอมและรสชาติเปรี้ยวเบา ๆ ของเลมอนจะช่วยตัดเลี่ยนและเพิ่มรสชาติให้กับเมนูสุดโปรดได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟพร้อมกับน้ำเกรวี่ร้อน ๆ ที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ, เนย และน้ำสต็อกไก่งวงสุดเข้มข้นช่วยเพิ่มความสุขและความอบอุ่นได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
วัตถุดิบไก่งวงอบ
- ไก่งวง
- หอมใหญ่
- เลมอน
- กระเทียม
- พาสลีย์
- โรสแมรี่
- ใบกระวาน
- ไธม์
- เนยจืด
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- น้ำมันมะกอก
วิธีทำไก่งวงอบ
- ขั้นตอนที่ 1 : นำไก่งวงมาทำความสะอาดแล้วซับให้แห้งแล้วพักไว้ก่อนค่ะ สำหรับไก่งวงแนะนำให้นำมาวางทิ้งไว้จนไก่มีอุณหภูมิห้อง ไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไปนะคะ จากนั้นหันมาเตรียมเนยสำหรับทาไก่กันดีกว่าค่ะ เราจะนำเนยจืดมาผสมกับเกลือและพริกไทยเล็กน้อยตามด้วยน้ำมันมะกอกอีกนิดหน่อย บีบน้ำเลมอนลงไปพอประมาณและตามด้วยผิวอีกหน่อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม สับหรือบดกระเทียมตามไปอีก 2 – 3 กลีบเพื่อช่วยดับกลิ่น สับพาสลีย์สดลงไปอีกประมาณหนึ่งกำมือหรือตามต้องการจากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเลยค่ะ หันมาทาเกลือและพริกไทยบาง ๆ ให้ทั่วด้านในตัวไก่ หั่นหอมใหญ่เป็นชิ้นใหญ่ ๆ ตามลงไปเพื่อเพิ่มความหวานให้กับเนื้อพร้อมเลมอนสักครึ่งลูกและใบกระวานสด 2 – 3 ใบช่วยดับกลิ่นคาว เตรียมเตาอบไว้ที่ 220 ℃
- ขั้นตอนที่ 2 : มาถึงขั้นตอนสำคัญแล้ว เราจะจับตัวไก่ให้แน่นแล้วค่อย ๆ สอดนิ้วเข้าไประหว่างหนังและเนื้อไก่เพื่อแยกทั้ง 2 ส่วนออกจากกัน ขั้นตอนนี้ระหวังหนังหลุดและขาดด้วยนะคะ จากนั้นนำเนยที่ทำไว้ก่อนหน้าแทรกลงไปตรงกลางแล้วเกลี่ยให้ทั่ว ชั้นเนยจะเข้าไปแทรกระหว่างหนังและเนื้อ ช่วยให้หนังกรอบและเนื่อไก่นุ่ม มีกลิ่นหอมมากขึ้นค่ะ ทำแบบนี้ทั้ง 2 ด้านเลยนะคะ เสร็จแล้วนำเนยที่เหลือทาให้ทั่วตัวไก่แล้วตามด้วยน้ำมันมะกอกอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วนำไปอบที่อุณหภูมิ 220 ℃ เป็นเวลา 10 นาทีเพื่อให้เนยละลายและไก่สุกขึ้นเล็กน้อย
- ขั้นตอนที่ 3 : ครบเวลาแล้วนำออกมาพักให้คลายความร้อนลงเล็กน้อย ตักน้ำมันที่ละลายออกมาราดตัวไก่ให้ทั่วอีกครั้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเนื้อไก่ จากนั้นนำกลับไปอบที่อุณหภูมิ 180 ℃ ส่วนระยะเวลาขึ้นอยู่กับน้ำหนักของไก่ค่ะ เราจะใช้เวลาอบประมาณ 35 นาทีต่อ 1 กิโลกรัม ตรงนี้เพื่อน ๆ จะต้องบวกลบเวลาด้วยตัวเองนะคะเพราะถ้าอบนานเกินไปเนื้อไก่จะแห้ง ครบเวลาแล้วนำไก่ออกมาพักในภาชนะอีกหนึ่งใบแยกกับน้ำมันจากถาดอบก่อนหน้าเพื่อให้ไก่คายน้ำออกมาและเนื้อไก่จะนุ่มขึ้นค่ะ ส่วนนี้อาจจะใช้เวลา 30 – 60 นาที จากนั้นนำน้ำที่ได้จากการอบและน้ำที่ออกจากตัวไก่มาเคี่ยวรวมกับโรสแมรี่และใบไธม์จนน้ำงวดลงครึ่งหนึ่ง จากนั้นกรองเอาเฉพาะน้ำและเสิร์ฟเป็นน้ำเกรวี่พร้อมกับไก่งวงอบ
มันอบ (Roast Potatoes)
เครื่องเคียงสุดคลาสสิคอย่างมันอบ เมนูนี้เข้ากันได้ดีกับอาหารอีกหลาย ๆ เมนูและเป็นอีกหนึ่งเมนูเบสิคสำหรับเทศกาลคริสต์มาสเลยค่ะ โดยมันอบจะเสิร์ฟพร้อมกับอาหารมื้อหลักอย่างไก่งวงหรืออาหารประเภทย่าง สำหรับสูตรนี้เราจะนำมันฝรั่งมาอบพร้อมกับเครื่องเทศอย่างโรสแมรี่และใบไธม์ที่ให้กลิ่นหอมและช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี มันที่อบเสร็จใหม่ ๆ จะมีความกรอบหน่อย ๆ และเนื้อด้านในนุ่มฟูพร้อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทั้งบ้านเลยค่ะ
วัตถุดิบมันอบ
- มันฝรั่ง
- กระเทียม
- โรสแมรี่
- ไธม์
- เนยจืด
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล
- น้ำมันมะกอก
- น้ำเปล่า
วิธีทำมันอบ
- ขั้นตอนที่ 1 : เราจะล้างมันฝรั่งก่อนค่ะ สำหรับมันฝรั่งเราจะเลือกใช้มันฝรั่งรัสเซสและเลือกหัวที่มีขนาดพอดีมือ ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไปและไม่มีรากงอกนะคะ นำมาขัดล้างเอาเศษดินและคราบสกปรกออกให้หมดเลย จากนั้นปอกเปลือกให้เกลี้ยงแล้วผ่าครึ่งหรือหั่นให้มีขนาดเล็กลง
- ขั้นตอนที่ 2 : หันมาเทน้ำใส่หม้อใบใหญ่แล้วเติมเกลือลงไปให้มีรสชาติเค็มอ่อน ๆ นำขึ้นตั้งไฟกลางค่อนแรงจนน้ำเดือดแล้วนำมันฝรั่งที่ปอกไว้ลงต้มจนสุก นำมาเทน้ำออกแล้วพักให้สะเด็ดน้ำ ระหว่างนั้นเราจะหยิบถาดอบขนมหรือจานทนความร้อนสูงออกมา ทาน้ำมันมะกอกให้ทั่วก้นถาดแล้วตามด้วยเนย จากนั้นเทชิ้นมันฝรั่งต้มลงไปแล้วโรยเกลือพริกไทยลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
- ขั้นตอนที่ 3 : นำมันฝรั่งเข้าอบที่อุณหภูมิ 190 ℃ เป็นเวลาประมาณ 30 นาที ครบเวลาแล้วนำออกมากดให้มันฝรั่งของเราแตกและแบนลงเล็กน้อย จากนั้นให้เด็ดใบโรสแมรี่ใส่ภาชนะอีกใบแล้วคลุกเคล้าด้วยน้ำมันมะกอกและน้ำส้มสายชูเล็กน้อยตามด้วยกระเทียมอีกนิดหน่อย ใส่กระเทียมลงไปทั้งกลีบเลยนะคะ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วโรยลงบนมันอบของเราให้ทั่ว ปิดท้ายด้วยใบไธม์แล้วนำกลับเข้าเตาอบต่ออีก 20 – 30 นาทีในอุณหภูมิ 190 ℃ จนเครื่องเทศส่งกลิ่นหอมและมันฝรั่งกลายเป็นสีเหลืองทอง นำออกมาตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
มินซ์พาย (Mince Pie)
มินซ์พายเป็นขนมคริสต์มาสที่ขึ้นชื่อมาก ๆ ในประเทศอังกฤษและเป็นเมนูที่ทุกบ้านจะต้องมี เพราะในคืนคริสต์มาสอีฟเด็ก ๆ มักจะนำขนมมินซ์พายมาวางต้อนรับคุณลุงซานต้าก่อนเข้านอน เมื่อตื่นขึ้นมาจะเห็นว่าขนมแหว่งไปแล้วครึ่งหนึ่ง! ส่วนสาเหตุที่ขนมชนิดนี้ถูกเรียกว่ามินซ์พายก็เพราะในสมัยก่อนจะมีการผสมเนื้อสัตว์จริง ๆ ลงไปในตัวขนมด้วยนั่นเองค่ะ แต่ไม่ต้องตกใจเพราะเดี๋ยวนี้เนื้อสัตว์ถูกตัดออกไปทำให้ไส้มินซ์พายมีเพียงส่วนผสมของผลไม้หรือถั่วและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของบรั่นดีและไวน์ ในส่วนของรสชาติก็จะหวาน ๆ กรุบกรอบหน่อย ๆ ถือว่าเป็นอักหนึ่งขนมที่ไม่ควรพลาดในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเลยค่ะ
วัตถุดิบมินซ์พาย
- แป้งพายสำเร็จรูป
- แอปเปิ้ล
- เลมอน
- เบอร์รี่อบแห้ง
- ลูกเกด
- เปลือกส้มเชื่อม
- เนยจืด
- น้ำตาลทราย
- เกลือ
- ผงลูกจันท์เทศ
- ผงดอกจันท์เทศ
- ผงขิง
- ไวน์เชอร์รี่
- บรั่นดี
วิธีทำมินซ์พาย
- ขั้นตอนที่ 1 : เรามาทำไส้มินซ์กันก่อนดีกว่าค่ะ เริ่มจากล้างทำความสะอาดผลไม้สด จากนั้นปอกเปลือกแอปเปิ้ลและสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนเลมอนเราจะขูดผิวและบีบน้ำเตรียมไว้ จากนั้นก็หยิบกระทะหรือหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เนยตามลงไปแล้วคนจนเนยละลายและเริ่มเดือดเล็กน้อย สำหรับเนยเราจะใช้ไม่เยอะ แค่พอเคลือบผลไม้ก็พอแล้ว จากนั้นนำแอปเปิ้ลลงไปคลุกเคล้ากับเนยจนทั่วก่อน ขั้นตอนนี้ยังใช้ไฟอ่อน ๆ อยู่นะคะ
- ขั้นตอนที่ 2 : หลังจากเนยเคลือบแอปเปิ้ลดีแล้วเราจะใส่ลูกเกด, เปลือกส้มเชื่อม, น้ำเลมอน, ผิวเลมอน และเบอร์รี่อบแห้งลงไป สำหรับเบอร์รี่จะใช้ชนิดไหนก็ได้แต่ไม่แนะนำสตรอว์เบอร์รี่เพราะมีขนาดใหญ่เกินไปค่ะ ใส่ผงไม้ครบหมดแล้วเราก็คนให้เข้ากันอีกหนึ่งครั้งแล้วตามด้วยน้ำตาลและเกลือเล็กน้อยเพื่อตัดรส คนให้เข้ากันอีกครั้งแล้วชิมรสชาติตามชอบเลยค่ะ ใครชอบหวานมากหวานน้อยก็สามารถเพิ่มลดได้ตามชอบเลย
- ขั้นตอนที่ 3 : ไส้พายมีรสชาติหวานตามต้องการแล้วมาเพิ่มเครื่องเทศกันต่อค่ะ เราจะใส่ผงลูกจันท์เทศ, ผงดอกจันท์เทศ และผงขิงลงไป ปิดท้ายด้วยบรั่นดีและไวน์เชอร์รี่ คนผสมให้เข้ากันแล้วปิดเตา ยกลงมาพักไว้ให้หายร้อน ระหว่างนั้นหันมาตัดแป้งพายให้มีขนาดตามต้องการแล้วในไปกรุลงพิมพ์หรือถาดหลุมอบขนมเตรียมไว้เลยค่ะ แนะนำให้ใช้ส้อมจิ้มฐานให้มีรูเล็กน้อยจะช่วยให้ขนมสุกดีนะคะ ไส้พายหายร้อนแล้วนำมาตักใส่แป้งที่เตรียมไว้ ใครจะนำแป้งมาปิดหน้าพายหรือไม่ปิดก็ได้ค่ะ ตามชอบเลย จากนั้นนำเข้าอบในอุณหภูมิ 150 ℃ ใช้เวลา 20 นาทีหรือจนกว่าแป้งพายจะสุกเหลืองก็เป็นอันใช้ได้ นำออกมาพักให้หายร้อยแล้วจัดเสิร์ฟได้เลย
คริสต์มาสพุดดิ้ง (Christmas Pudding)
คริสต์มาสพุดดิ้งเป็นขนมขึ้นชื่อที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับวันคริสต์มาส คริสต์มาสพุดดิ้งไม่ใช่พุดดิ้งเนื้อเนียนนุ่มแต่เป็นเค้กที่ทำไปนึ่งจนสุกและมีเนื้อแน่น มีรสชาติหวานหอมของบรั่นดีและผลไม้ต่าง ๆ ที่มีความของเป็นเอกลักษณ์ถึงแม้หน้าตาของขนมจะดูขมุกขมัวสักหน่อยแต่รับรองว่าอร่อยเหาะค่ะ ส่วนใหญ่แล้วคริสต์มาสพุดดิ้งจะถูกตกแต่งด้วยช่อฮอลลี่ที่เป็นสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาสและพระเยซู เนื่องจากต้นฮอลลี่มีใบสีเขียวเข้มและผลสีแดงสดซึ่งเป็นสีประจำวันคริสต์มาสที่เราคุ้นเคยกันค่ะ
วัตถุดิบคริสต์มาสพุดดิ้ง
- ไข่ไก่
- แอปเปิ้ล
- แป้งสาลีอเนกประสงค์
- เกล็ดขนมปัง
- ไขมันสัตว์หรือเนย
- ลูกเกด
- เบอร์รี่อบแห้ง
- เปลือกส้มเชื่อม
- ถั่วอบแห้ง
- น้ำตาล
- มิกซ์สไปซ์
- เกลือ
- บรั่นดี
วิธีทำคริสต์มาสพุดดิ้ง
- ขั้นตอนที่ 1 : สำหรับคริสต์มาสพุดดิ้งเราจะเริ่มจากล้างทำความสะอาดและปอกเปลือกแอปเปิ้ลก่อนค่ะ จากนั้นสับแอปเปิ้ลให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาผสมรวมกับแป้งสาลีอเนกประสงค์, เกล็ดขนมปัง, ไขมันสัตว์ (ใครไม่ชอบสามารถเปลี่ยนมาใช้เนยได้) ลูกเกด, เบอร์รี่อบแห้ง, ถั่วอบห้ง (สับหยาบ), เปลือกส้มเชื่อม และน้ำตาล เติมเกลือและมิกซ์สไปซ์ตามลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความกลมกล่อม
- ขั้นตอนที่ 2 : จากนั้นคนผสมให้เข้ากันก่อนแล้วตามด้วยของเหลวอย่างไข่ไก่และบรั่นดีค่ะ คนผสมให้ทุกอย่างเข้ากันดีแล้วเราจะหันมาทาเนยให้ทั่วพิมพ์ จากนั้นต้มน้ำให้เดือด เทขนมที่ทำไว้ลงในพิมพ์แล้วปิดด้วยผ้าขาวบาง ผูกเชือกให้แน่นแล้วนำไปนึ่งในหม้อน้ำร้อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะแน่ใจว่าขนมสุกดี ระหว่างนี้ต้องคอยดูไม่ให้น้ำในหม้อแห้งจนไหม้ ขนมสุกดีแล้วเทออกจากพิมพ์แล้วพักให้หายร้อนเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟตกแต่งด้วยดอกฮอลลี่หรือใบและเม็ดฮอลลี่ ราดด้วยบรั่นดีอีกครั้งแล้วจุดไฟให้มีเปลวไฟสวยงาม
ขนมปังขิง (Gingerbread)
นอกจากแคนดี้ไม้เท้าแล้วขนมปังขิงก็เป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานที่ไม่หวานที่ได้รับความนิยมสุด ๆ ในเทศกาลคริสต์มาส ขนมปังขิงมีส่วนประกอบหลักคือผงขิงและเครื่องเทศตะวันออกที่มีกลิ่นหอมและมีสรรพคุณในการรักษาอาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหารเนื่องจากผู้คนมักจะมีอาการแน่นท้องเนื่องจากการรับประทารอาหารมากเกินไปในช่วงเทศกาล ขนมปังขิงจะมีรสชาติหวาน มีความเผ็ดร้อนเบา ๆ ปนกับรสชาติขมเล็กน้อย โดยขนมจะมาในรูปแบบที่หลากหลาย มีทั้งรูปเด็ก, ไม้เท้า, ถุงเท้า หรือใบฮอลลี่และมักจะนำมาตกแต่งด้วยครีมน้ำตาลเพื่อเพิ่มความสวยงามและรสชาติค่ะ
วัตถุดิบขนมปังขิง
- น้ำตาลทรายแดง
- แป้งสาลีเอนกประสงค์
- ไข่ไก่
- เนยจืด
- โมลาส (กากน้ำตาลฟู้ดเกรด)
- ผงกานพลู
- ออลสไปซ์
- ผงจันท์เทศ
- ผงขิง
- เมล็ดผักชี
- เมล็ดยี่หร่า
วิธีทำขนมปังขิง
- ขั้นตอนที่ 1 : เรามาผสมของแห้งกันก่อนดีกว่า เริ่มจากผสมน้ำตาลทราย, แป้งสาลี, ผงกานพลู, ออลสไปซ์, ผงจันท์เทศ, ผงขิง, เมล็ดผัดชี และเมล็ดยี่หร่าเข้าด้วยกัน คนผสมให้เข้ากันก่อน หันมาอุ่นเนยจนละลายแล้วตีไข่เข้าด้วยกัน ผสมทั้งเนยและไข่ลงในโมลาส คนผสมให้เข้ากันดีแล้วค่อย ๆ ตักของแห้งที่ผสมไว้ก่อนหน้ามารวมกันทีละนิดสลับกับปั้น ๆ ผสม ๆ ไปเรื่อย ๆ จนสามารถนำแป้งมาปั้นได้ แป้งจะมีสีน้ำตาลสวยซึ่งเป็นสีธรรมชาติของขนมปังขิงค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : จากนั้นรีดแป้งให้เป็นแผ่นหนาตามต้องการแล้วขึ้นรูปด้วยพิมพ์คุกกี้หรือปั้นเป็นก้อนกลมแล้วพักทิ้งไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 ℃ เป็นเวลา 10 – 15 นาทีหรือจนกว่าขนมปังจะมีสีเข้มขึ้นและส่งกลิ่นหอม จากนั้นนำออกมาพักให้เย็นแล้วจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ หรือจะตกแต่งให้สวยงามก็ไม่ว่ากัน
เค้กขอนไม้ (Yule log)
เค้กขอนไม้เป็นขนมหวานประจำเทศกาลคริสต์มาสของประเทศฝรั่งเศสค่ะ โดยปกติแล้วชาวฝรั่งเศสจะชอบนั่งผิงไฟกันม๊ากกกก แต่เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสจะมีหิมะตกหนัก ๆ ทางการเลยมีการสั่งให้ปิดปล่องไฟเพื่อป้องกันไม่ให้ความหนาวเข้าไปในบ้านและทำให้ประชาชนเจ็บป่วย ชาวฝรั่งเศสทนคิดถึงการนั่งผิงไฟไม่ไหวจึงทำเค้กเป็นรูปรูปขอนไม้และประดับประดาด้วยเมอแรงก์ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับเห็ดและปิดท้ายด้วยโรยน้ำตาลไอซิ่งแทนหิมะแล้วมารับประทานกันแทนการนั่งผิงไฟ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาและแลกเปลี่ยนเรื่องราวข่าวสารกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเค้กขอนไม่จึงเป็นขนมหวานประจำคริสต์มาสของชาวฝรั่งเศสไปโดยปริยายค่ะ
วัตถุดิบชิฟฟ่อนเค้ก
- แป้งสาลีเอนกประสงค์
- ไข่ไก่
- น้ำตาลไอซิ่ง
- นมจืด
- น้ำมันพืช
- กลิ่นวานิลลา
- ผงโกโก้
- แป้งข้าวโพด
- ครีมออฟทาทาร์
วัตถุดิบเมอแรงก์
- ไข่ขาว
- ครีมออฟทาทาร์
- น้ำตาลไอซิ่ง
- ผงโกโก้
วัตถุดิบบัตเตอร์ครีม
- น้ำตาลไอซิ่ง
- เนยจืด
- นมจืด
- กลิ่นวานิลลา
- เกลือ
- เฮลเซลนัทสเปรด
วัตถุดิบช็อกโกแลตกานาช
- ช็อกโกแลตเข้มกลาง
- ครีม
วิธีทำเค้กขอนไม้
- ขั้นตอนที่ 1 : ก่อนอื่นเรามาทำตัวชิฟฟ่อนเค้กกันก่อนดีกว่า ขั้นตอนแรกเตรียมเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 180 ℃ ก่อนเลย จากนั้นตอกไข่แยกไข่ขาวและไข่แดงให้เรียบร้อย อาจจะใช้ที่แยกไข่โดยเฉพาะก็ได้ค่ะ แบ่งน้ำตาลออกเป็น 2 ส่วนแล้วแบ่ง 1 ส่วนมาตีรวมกับไข่แดงจนน้ำตาลละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เติมนม, น้ำมันพืช และกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากันอีกครั้ง จากนั้นร่อนแป้ง, ผงโกโก้ และแป้งข้าวโพดผ่านตะแกรงร่อนแป้งแล้วคนอีกครั้งจนส่วนผสมทั้งหมดกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
- ขั้นตอนที่ 2 : พักแป้งไว้แล้วหันมาตีไข่ขาวที่เหลือผสมกับครีมออฟทาทาร์จนเริ่มขึ้นฟองหยาบ ค่อย ๆ แบ่งเทน้ำตาลอีก 1 ส่วนที่เหลือลงไปทีละน้อยจนหมดและไข่ขาวขึ้นฟูตั้งยอด นำไข่ขาวมามาใส่แป้งที่ทำไว้ก่อนหน้าทีละครึ่งแล้วใช้ไม้พายค่อย ๆ พับส่วนผสมทั้งหมดจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่แผ่นรองอบแล้วเกลี่ยให้หน้าขนมเสมอกัน เลือกความหนาได้ตามต้องการ จากนั้นนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 ℃ ใช้เวลาประมาณ 12 – 15 นาที แป้งสุกดีแล้วเอาแผ่นรองอบออกแล้วรองด้วยผ้าขนหนูแล้วค่อย ๆ ม้วนตัวเค้กเข้าหากันโดยมีผ้าคั่นกลาง จากนั้นพักทิ้งไว้จนขนมหายร้อนสนิทและเซตตัวดี
- ขั้นตอนที่ 3 : ระหว่างรอมาทำบัตเตอร์ครีมกันต่อ ผสมน้ำตาลไอซิ่งและเนยลงในภาชนะแล้วใช้ตะกร้อไฟฟ้าปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน ค่อย ๆ เติมนมทีละน้อยจนส่วนผสมกลายเป็นเนื้อครีม จากนั้นตามด้วยกลิ่นวานิลลาและเกลือเล็กน้อย ตีผสมให้เข้ากันแล้วตามด้วยเฮเซลนัทสเปรด ขั้นตอนนี้เราจะเปลี่ยนมาใช้ไม้พายคนส่วนผสมทั้งหมดจนเข้ากันดีค่ะ พักไว้ก่อน หันมาอุ่นครีมให้พอร้อนแล้วนำมาผสมกับช็อกโกแลตที่สับเป็นชิ้นเล็กเตรียมไว้แล้ว จากนั้นค่อย ๆ คนไปเรื่อย ๆ จนช็อกโกแลตละลายเข้ากับครีมจนเป็นเนื้อเดียวกันกลายเป็นช็อกโกแลตกานาจ พักไว้
- ขั้นตอนที่ 4 : เปลี่ยนมาทำเมอแรงก์บ้าง ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองหยาบแล้วตามด้วยครีมออฟทาทาร์ ตีต่อจนไข่ขึ้นฟูเป็นฟองละเอียดแล้วเติมน้ำตาลไอซิ่งลงไปทีละน้อยจนไข่ขาวแข็งตั้งยอดและเงาขึ้น ตักใส่ถุงบีบแล้วบีบลงบนแผ่นรองอบให้มีลักษณะกลม ๆ และมีลักษณะเป็นแท่งคล้ายโคนเห็ดในปริมาณเท่า ๆ กัน โรยหน้าด้วยผงโกโก้เบา ๆ ก่อนนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 92 ℃ ใช้เวลา 1.30 – 2 ชั่วโมง จากนั้นนำออกมาพักต่ออีก 30 นาทีก่อนนำมาประกบกันแล้วเชื่อมด้วยช็อกโกแลต
- ขั้นตอนที่ 5 : หลังจากส่วนประกอบทั้งหมดพร้อมแล้วเราจะแกะเอาผ้าออกจากเค้ก หลังจากที่รองไว้และเย็นสนิทเค้กจะโค้งงอตามรูปผ้าทำให้สามารถม้วนได้ง่าย จากนั้นทาบัตเตอร์ครีมให้ทั่วด้านในแล้วม้วนเข้าหากันเหมือนเค้กโรล ตัดปลายเค้กด้านหนึ่งในแนวเฉียงแล้วนำมาต่อด้านข้าง เชื่อมติดกันด้วยช็อกโกแลตกานาช จากนั้นเทช็อกโกแลตใส่ถุงบีบพร้อมหัวบีบแฉก บีบช็อกโกแลตกานาชให้ทั่วเค้กจนมีลักษณะเป็นริ้วคล้ายเปลือกไม้ ตกแต่งด้วยเห็ดเมอแรงก์และผลไม้อื่น ๆ ตามต้องการ ปิดท้ายด้วยการโรยน้ำตาลไอซิ่งบาง ๆ ผ่านกระชอนให้เหมือนหิมะตก เค้กขอนไม้พร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ
เค้กผลไม้ (Fruit Cake)
เค้กผลไม้มักจะนิยมทำเป็นขนมแจกจ่ายเพื่อนบ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือเทศกาลต่าง ๆ เนื่องจากเป็นขนมที่ทำง่าย ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว (ในครัวฝรั่ง) สำหรับฟรุ๊ตเค้กกับคริสต์มาสเค้กจะมีหน้าตาคล้าย ๆ กันแต่วัตถุดิบและวิธีการทำค่อนข้างจะต่างกันเลยค่ะ สำหรับฟรุ๊ตเค้กจะเน้นใช้เบอร์รี่และผลไม้แห้ง นำมาผสมกับเนยและวัตถุดิบอื่น ๆ ก่อนนำไปอบเหมือนการทำเค้กทั่วไป ซึ่งต่างจากคริสต์มาสเค้กที่จะนำเค้กไปนึ่งและมีส่วนผสมของไขมันสัตว์และไข่ไก่ ในส่วนของรสชาติของฟรุ๊ตเค้กจะมีความหวานที่ได้มาจากผลไม้แห้ง รสชาติมันนิด ๆ จากถั่ว มีกลิ่นหอมชวนรับประทานและเนื้อเค้กค่อนข้างแน่นไม่ต่างจากคริสต์มาสเค้กมากนักค่ะ
วัตถุดิบเค้กผลไม้
- ไข่ไก่
- แป้งสาลีเอนกประสงค์
- เบอร์รี่อบแห้ง
- ลูกพรุน
- ลูกเกด
- อินทผาลัมแห้ง
- ถั่วพีแคนหรือวอลนัท
- ผิวเลมอนขูด
- ผิวส้มขูด
- มิกซ์สไปซ์
- ออลสไปซ์
- ผงชินนามอน
- ผงฟู
- เนย
- น้ำตาลทรายแดง
- โมลาส
- เกลือ
- กลิ่นวานิลลา
- น้ำเปล่า
วิธีทำเค้กผลไม้
- ขั้นตอนที่ 1 : ขั้นตอนแรกเราจะมาเตรียมพิมพ์อบขนมก่อนค่ะ ทาเนยให้ทั่วทั้งขอบและฐานพิมพ์ด้านในพร้อมรองด้วยกระดาษอบขนมเพื่อกันไม่ให้ตัวขนมติดพิมพ์ เพื่อน ๆ สามารถใช้พิมพ์ขนาดไหนหรือรูปแบบไหนก็ได้นะคะ เลือกได้ตามที่ชอบเลย เสร็จแล้วพักพิมพ์ไว้ก่อน หันมาสับผลไม้แห้งทั้งหมดที่จะใช้เป็นชิ้นเล็ก ๆ สำหรับผลไม้สามารถปรับเปลี่ยนผลไม้หรือเพิ่มลดปริมาณได้ตามชอบเลยนะคะแต่ต้องเป็นผลไม้อบแห้ง ใครจะใส่กล้วยตากหรือมะม่วงกวนก็ไม่ว่ากันค่ะ ส่วนถั่วที่จะใช้ก็สามารถเลือกได้หลากหลาย นำมาสับหยาบเตรียมไว้ เสร็จแล้ววอร์มเตาอบไว้ที่อุณหภูมิ 160 ℃
- ขั้นตอนที่ 2 : หยิบหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อนแล้วใส่เนยลงไปละลาย จากนั้นตามด้วยผลไม้แห้งที่สับไว้, น้ำตาล, โมลาส, และน้ำเปล่า ต้มทิ้งไว้จนผลไม้เริ่มสุกนิ่มขึ้น คอยคนเป็นระยะเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลหรือผลไม้ไหม้ติดก้นหม้อ หลังจากหม้อเดือดอีกครั้งเราจะปิดเตาแล้วนำลงมาพักไว้จนทุกอย่างหายร้อนและเย็นสนิท จากนั้นใส่ไข่, กลิ่นวานิลลา แะลถั่วสับตามลงไป คนให้เข้ากันดีแล้วตามด้วยแป้งสาลี, ผงฟู, เกลือ, ออลสไปซ์, มิกซ์สไปซ์, ผิวส้มขูด และผิวเลมอนขูดตามลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีและมีลักษณะคล้ายแป้ง ขั้นตอนนี้อาจจะต้องใช้พลังงานและเวลานิดหน่อยค่ะ แนะนำให้ผสมของแห้งในถ้วยเดียวกันก่อนแล้วค่อยนำมาผสมกับผลไม้ที่ทำไว้ทีละน้อย ๆ
- ขั้นตอนที่ 3 : เทแป้งเค้กลงในพิมพ์ที่เตรียมไว้ก่อนหน้า จากนั้นเกลี่ยหน้าเค้กให้เรียบสนิท อาจจะโรยถั่วสับหยาบเพิ่มความสวยงามและความกรุบกรอบด้วยก็ได้นะคะแต่ไม่แนะนำให้ใช้ผลไม้อบแห้งเพราะกว่าเค้กจะสุกผลไม้จะไหม้และขมเสียก่อน อีกทั้งยังกลบกลิ่นของเครื่องเทศอื่น ๆ อีกด้วย หลังจากนั้นนำเค้กของเราเข้าอบด้ววยอุณหภูมิ 160 ℃ ใช้เวลาประมาณ 80 – 90 นาที ครบเวลาแล้วนำเค้กออกมาแล้วใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มตรงกลางของเค้ก ถ้าไม่มีแป้งติดมาด้วยแปลว่าเค้กของเราสุกได้ที่แล้ว นำออกมาพักทิ้งไว้ 1 คืนแล้วจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ ถ้าไม่พักเค้กไว้ก่อนเนื้อเค้กจะดูแฉะและไม่มีกลิ่นหอมอีกด้วย
ฮ็อตช็อกโกแลตสมอร์ (Hot Chocolate S’more)
ทานของคาวของหวานจนอิ่มแล้วมาปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มกันบ้างค่ะ พูดถึงคริสต์มาสแล้วเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลแห่งความสุขก็คือฮ็อตช็อกโกแลตหรือช็อกโกแลตร้อนสำหรับเด็ก ๆ ยิ่งในคืนหิมะตกหนัก อากาศหนาวเย็นจับใจ การได้ดื่มช็อกโกแลตหอมหวานเข้มข้นสักแก้วก่อนนอนจะช่วยให้อุ่นท้องและนอนหลับสบายมากขึ้น แต่แค่ช็อกโกแลตอย่างเดียวยังไม่พอเพราะเราจะเพิ่มสมอร์ลงไปด้วย! สมอร์คือมาร์ชเมลโล่วที่นำไปเอาไฟจนผิวเริ่มยืดและนุ่มนิ่ม มีกลิ่นไหม้อ่อน ๆ และรสชาติหวานหอมสุด ๆ เป็นขนมที่เด็กฝรั่งชอบทานสุด ๆ เลยค่ะ
วัตถุดิบฮ็อตช็อกโกแลตสมอร์
- ผงโกโก้
- ดาร์คช็อกโกแลต
- มาร์ชเมลโลว
- เปลือกชินนามอน
- น้ำตาลทรายแดง
- ครีม
- นมจืด
- กลิ่นวานิลลา
วิธีทำฮ็อตช็อกโกแลตสมอร์
- ขั้นตอนที่ 1 : มาเริ่มกันเลยค่ะ นำนมใส่หม้อแล้วตามด้วยครีม จากนั้นนำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ จนนมเริ่มอุ่นร้อน ใส่ผงโกโก้และสับดาร์คช็อกโกแลตตามลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดีแล้วเพิ่มความหอมหวานด้วยน้ำตาลทรายแดงและกลิ่นวานิลลา คนจนน้ำตาลละลายอีกครั้ง ใครชอบช็อกโกแลตเข้มข้นหน่อยก็สามารถเติมครีมลงไปเยอะ ๆ แล้วลดปริมาณนมได้เลยค่ะ ฮ็อตช็อกโกแลตเสร็จเรียบร้อยแล้วเทใส่แก้ว เปิดเตาอีกครั้งแล้วเผาเปลือกชินนามอนให้ไหม้หน่อย ๆ และมีกลิ่นหอม จุ่มลงในช็อกโกแลตที่ทำไว้ จากนั้นนำมาร์ชเมลโลวเสียบไม้แล้วเผาไฟอ่อน ๆ จนผิวเริ่มนุ่มยืดและไหม้หน่อย ๆ เสิร์ฟพร้อมฮ็อตช็อกโกแลตร้อน ๆ
เอ้กน็อก (Eggnog)
มาที่เครื่องดื่มสำหรับผู้ใหญ่กันบ้าง เอ้กน็อกเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มชาวแคนนาดาและอเมริกัน จะเรียกว่าเป็นเครื่องดื่มประจำเทศกาลเลยก็ว่าได้เพราะแทบจะไม่มีบ้านไหนไม่ทำเอ้กน็อกกันในเทศกาลคริสต์มาส สำหรับเมนูนี้หน้าจะดูเป็นมิตรเพราะมีความครีมมี่ ดูขาวนวลน่ารับประทาน แต่พอได้จิบหนึ่งคำแล้วความร้อนรุ่มและรสชาติหอมหวานจะทำให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้นและรู้สึกสบายตัวจนไม่อยากวางแก้วเลยล่ะค่ะ เมนูนี้จะมีส่วนผสมของนม, ไข่ไก่ และเครื่องเทศยอดนิยมอย่างผงชินนามอนและผงลูกจันท์เทศ เพิ่มความเป็นผู้ใหญ่และความร้อนแรงด้วยเหล้ารัมหรือวิสกี้ที่มีทั้งความหอมและรสชาติดี เป็นเครื่องดื่มปิดท้ายมื้ออาหารที่ถูกใจหลาย ๆ คน
วัตถุดิบเอ้กน็อก
- นมจืด
- ไข่แดง
- น้ำตาลทราย
- เกลือ
- เฮฟวี่ครีม
- เบอร์เบินวิสกี้หรือเหล้ารัม
- กลิ่นวานิลลา
- ผงลูกจันท์เทศ
- ผงชินนามอน
วิธีทำเอ้กน็อก
- ขั้นตอนที่ 1 : ขั้นตอนแรกเราจะนำไข่แดงมาตีกับน้ำตาลจนเข้ากันและน้ำตาลละลายดี สังเกตได้จากสีของไข่แดงจะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ค่ะ จากนั้นพักไว้แล้วหันมาเทนมใส่หม้อ ตามด้วยเฮฟวี่ครีม, เกลือ, ผงลูกจันท์เทศ และลงชินนามอนอย่างละเล็กน้อย นำขึ้นตุ๋นไฟอ่อนจนส่วนผสมทั้งหทดเข้ากันดีและร้อนได้ที่ จากนั้นเทนมร้อน ๆ ลงในไข่ที่ทำไว้ก่อนหน้าทีละน้อยจนหมด ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความเร็วนิดนึงนะคะเพราะตอนที่เทนมร้อนลงไปเราต้องคอยคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเร็ว ๆ เพราะถ้าช้าเกินไปไข่แดงจะสุกและจับตัวเป็นก้อน ไม่วามารถนำมาทำเอ้กน็อกได้ค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : หลังจากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดกลับไปตั้งไฟอ่อนอีกครั้งแล้วคนไปเรื่อย ๆ จนกว่าส่วนผสมทั้งหมดจะข้นขึ้นและกลายเป็นเนื้อครีม ส่วนผสมร้อนและส่งกลิ่นหอมได้ที่แล้วนำลงมาพักให้คลายความร้อนเล็กน้อยและเพิ่มกลิ่นหอมด้วยกลิ่นวานิลลาและวิสกี้หรือเหล้ารัม คนให้เข้ากันดีอีกครั้งแล้วนำมากรองเอาเศษผงต่าง ๆ ออกเพื่อความนวลเนียนแล้วพักทิ้วไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมงจากนั้นนำมาเทใส่แก้วสวย ๆ ก่อนเสิร์ฟ อาจจะตกแต่งด้วยผงชินนามอนหรือเปลือกชินนามอนเล็กน้อยเพิ่มความสวยงาม
ไวน์ร้อน (Mulled Wine)
ถ้าเอ้กน็อกยังแรงไม่สะใจเรามาตุ๋นเหล้าร้อนทานกันดีกว่าค่ะ เมนูนี้เป็นเครื่องดื่มที่ฮิตมากสำหรับชาวยุโรปและนิยมดื่มในช่วงเทศกาลคริสต์มาสกันมานานมาก ๆ แล้วค่ะ โดยชาวยุโรปในยุคก่อนจะนำไวน์ที่เหลือทิ้งไว้หรือไวน์หมดอายุมาต้มและดื่มเพื่อบรรเทาความหนาวและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับไวน์เหลือทิ้งที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก จากไวน์ต้มธรรมดาก็เริ่มมีการเติมผลไม้และเครื่องเทศลงไปเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและช่วยให้เครื่องดื่มชนิดนี้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ปัจจุบันไวน์ร้อนเป็นเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์เพียงชนิดเดียวในยุโรปที่สามารถวางขายในพื้นที่สาธารณะได้ ส่วนรสชาติก็จะเปรี้ยวหวาน มีกลิ่นหอม มีแอลกอฮอล์มากน้อยขึ้นอยู่กับสูตร เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกร้อนและช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นค่ะ
วัตถุดิบไวน์ร้อน
- ไวน์
- เหล้ารัมหรือบรั่นดี
- เมเปิ้ลไซรัป
- เปลือกชินนามอน
- กานพลู
- โป๊ยกั๊ก
- ส้ม
- เลมอน
วิธีทำไวน์ร้อน
- ขั้นตอนที่ 1 : การทำไวน์ร้อนง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เราจะเริ่มจากการเทไวน์ลงในหม้อก่อน สำหรับไวน์สามารถใช้ได้ทุกชนิดรวมไปถึงไวน์หมดอาหยุหรือไว้ที่เหลือทิ้งไว้ก็ได้ค่ะ ส่วนใหญ่แล้วชาวยุโปรมักจะใช้ไวน์เหลือทิ้งมาทำไวน์ร้อน จากนั้นเพิ่มความหวานด้วยเมเปิ้ลไซรัปถ้าไม่มีจะเปลี่ยนมาใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายก็ได้ คนให้ละลายนิดหน่อยแล้วนำขึ้นตุ๋นบนไฟอ่อน ๆ คอยคนไปเรื่อย ๆ สลับกับฝานส้มและเลมอนเป็นแว่นบาง ๆ เตรียมไว้ ไวน์เริ่มร้อนแล้วใส่ผลไม้ตามลงไป เพื่อน ๆ สามารถเติมผลไม้ชนิดอื่นหรือเบอร์รี่ลงไปด้วยก็ได้นะคะแต่ขอแค่เป็นผลไม้สดก็พอแล้ว จากนั้นใส่เครื่องเทศอย่างเปลือกชินนามอน, กานพลู และโป๊ยกั๊กตามลงไป คนเบา ๆ ให้พอเข้ากัน ตุ๋นทิ้งไว้จนผลไม้ที่ใส่ลงไปเริ่มสุกแล้วเราจะปิดท้ายด้วยเหล้ารัมหรือบรั่นดีเพื่อเพื่มปริมาณแอลกอฮอล์ จากนั้นปิดเตาแล้วจัดเสิร์ฟตอนที่ยังอุ่นร้อนได้เลยค่ะ
ซอสเสจแคสเซอโรล (Breakfast Sausage Casserole)
เริ่มต้นวันดี ๆ ด้วยมื้อเช้าแสนอร่อยอย่างแคสเซอโรล สำหรับสูตรนี้จะเป็นซอสเสจแคสเซอโรลค่ะ เมนูนี้จะเป็นอาหารแบบอบ มีส่วนผสมของเนื้อหมู, ชีส และขนมปัง เมื่อนำมารวมกันแล้วบอกเลยว่าอร่อยมากเพราะรสชาติเข้ากันลงตัวพอดี เราจะเตรียมทุกอย่างไว้ตอนเย็น แช่เย็นทิ้งไว้แล้วค่อยนำออกมาอบในตอนเช้าค่ะ
วัตถุดิบซอสเสจแคสเซอโรล
- ไส้กรอกหมู
- ไข่ไก่
- ขนมปัง
- ผงมัสตาร์ด
- เกลือ
- เชดด้าชีส
- นมจืด
วิธีทำซอสเสจแคสเซอโรล
- ขั้นตอนที่ 1 : เราจะนำขนมปังไปปิ้งให้กรอบขึ้นเล็กน้อยแล้วนำมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเต๋าก่อนค่ะ จากนั้นผัดไส้กรอกหมูให้สุก ถ้าหาไม่ได้เราแนะนำให้ใช้เนื้อหมูบดแล้วปรุงรสด้วยเกลือ,พริกไทย และผงปาปริก้าน่าจะใช้แทนกันได้ค่ะ ผัดจนสุกและติดเกรียมเล็กน้อย กรองเอาน้ำออกแล้วพักไว้
- ขั้นตอนที่ 2 : หันมาผสมนม, ไข่ไก่, ผงมัสตาร์ด และเกลือให้เข้ากัน จากนั้นตามด้วยไส้กรอกที่ผัดไว้, ขนมปังหั่นเต๋า และเชดด้าชีสขูด คลุก ๆ ให้ทุกอย่างเข้ากันดีเลยค่ะ จากนั้นเทใสถาดเซรามิกหรือภาชนะที่ทนความร้อนสูงได้ เกลี่ยให้กระจายตัวจนทั่วแล้วคลุมด้วยพลาสติกแร๊พ แช่เย็นทิ้งไว้หนึ่งคืน
- ขั้นตอนที่ 3 : วอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 175 ℃ จากนั้นเอาพลาสติกแร๊พออก ปิดฝาถาดแล้วนำแคสเซอโรลเข้าอบเป็นเวลา 45 – 60 นาทีขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารค่ะ จากนั้นเปิดฝาแล้วอบต่อที่อุณหภูมิ 165 ℃ อีกประมาณ 30 นาทีหรือจนกว่าผิวด้านบนจะดูเกรียมขึ้น ยกออกจากเตาจัดเสิร์ฟได้เลย
แฮมอบฮันนี่มัสตาร์ด (Honey Mustard Glazed Ham)
เมนูนี้ได้รับความนิยมพอ ๆ กับไก่งวง และเหมาะกับคนที่ไม่ชอบทานไก่งวงด้วยค่ะ ส่วนวิธีทำก็ง่ายมาก ๆ แค่นำแฮมมาเคลือบด้วยซอสฮันนี่มัสตาร์ดให้ทั่ว จากนั้นนำไปอบให้หอมและสุก แฮมจะอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำผึ้งชวนทาน ในส่วนของรสชาตินี่บอกเลยว่าว้าวมากเพราะความเค็มของแฮมจะถูกตัดด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวอ่อน ๆ ของซอสฮันนี่มัสตาร์ด กลายเป็นความกลมกล่อมเข้ากัน แนะนำให้ทานพร้อมกับ potato gratin จะเข้ากันมาก ๆ
วัตถุดิบแฮมอบฮันนี่มัสตาร์ด
- แฮม
- น้ำตาลทรายแดง
- น้ำผึ้ง
- มัสตาร์ด
- เกลือ
- พริกไทย
วิธีทำแฮมอบฮันนี่มัสตาร์ด
- ขั้นตอนที่ 1 : ผสมน้ำตาลทายแดง, น้ำผึ้ง, มัสตาร์ด, เกลือ และพริกไทยให้เข้ากันก่อนค่ะ จากนั้นเอาแฮมออกมาจากถุงตาข่าย แนะนำให้ใช้แฮมแบบก้อนนะคะ บากแฮมเป็นลายตารางใหญ่ ๆ แล้วนำส่วนผสมที่ทำไว้ลงเคลือบจนทั่ว นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 150 – 160 ℃ ประมาณ 15 นาที จากนั้นนำออกมาสไลซ์เป็นแผ่นบาง ๆ แล้วจัดเสิร์ฟค่ะ ส่วนซอสที่เหลือสามารถนำไปเคี่ยวให้ข้นขึ้นแล้วนำมาเสิร์ฟคู่กันได้
ซี่โครงอบ (Prime Ribs)
ซี่โครงอบเป็นเมนูประจำเทศกาลและชาวตะวันตกทานกันแทบจะวันหยุดฮอลิเดย์เลยค่ะ จริง ๆ แล้วเมนูนี้ทำค่อนข้างง่าย เพราะวัตถุดิบที่ใช้สามารถหาได้ทั่วไปในครัวฝรั่ง เนื้อส่วนซี่โครงหรือ Prime Ribs จะมีไขมันแทรกแบบพอดี ๆ เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว ยิ่งอบแบบมีเดียมแรร์ก็จะยิ่งเพิ่มความฉ่ำขึ้นไปอีกค่ะ ใครอยากลองจัดปาร์ตี้คริสต์มาสสไตล์ตะวันตกนี่ไม่ควรพลาดเมนูนี้เลย
วัตถุดิบซี่โครงอบ
- เนื้อส่วนซี่โครง
- หอมใหญ่
- แครอท
- เซเลอรี่
- ผงกระเทียม
- ไทม์อบแห้ง
- พริกไทยบดหยาบ
- เกลือบดหยาบ
- ดิจองมัสตาร์ด
- ซอสฮอชแรดิช
วัตถุดิบซอสซี่โครง
- ซอสจากการอบซี่โครง
- แป้งข้าวโพด
- น้ำเปล่า
วิธีทำซี่โครงอบ
- ขั้นตอนที่ 1 : เราจะเอาเนื้อมาทำความสะอาดก่อนค่ะ แนะนำให้ซับน้ำให้แห้งเลยนะคะ ในส่วนของเนื้อจะเลือกเอาเฉพาะเนื้อล้วนหรือติดซี่โครงก็ได้ค่ะ แล้วแต่ความชอบเลย วางทิ้งไว้จนเนื้อหายเย็น จากนั้นหั่นหอมใหญ่, แครอท และเซเลอรี่เป็นชิ้นเท่า ๆ กัน ตรงนี้เราจะหั่นชิ้นใหญ่หน่อยนะคะ ถ้าเป็นหอมใหญ่หัวเล็ก ๆ นี่ผ่าครึ่งแค่ครั้งเดียวก็พอค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : ผสมดิจองมัสตาร์ดกับซอสฮอสแรดิชให้เข้ากัน จากนั้นหันมาผสมของแห้งอย่างผงกระเทียม, ไทม์, พริกไทย และเกลืกอให้เข้ากัน ทาซอสที่เตรียมไว้ให้ทั่วชิ้นเนื้อแล้วโรยผงตามลงไปให้ทั่วเช่นเดียวกัน สำหรับผงนี่สามารถใส่เยอะ ๆ ได้เลยนะคะ
- ขั้นตอนที่ 3 : วอร์มเตาอบที่ 230 ℃ ระหว่างนั้นเราจะวางหอมใหญ่, แครอท และเซเลอรี่ลงไปบนถาดอบก่อนค่ะ จากนั้นตามด้วยเนื้อที่เตรียมไว้ค่ะ จากนั้นนำเข้าอบเป็นเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นลดอุณหภูมิลงเหลือ 175 ℃ แล้วอบต่อจนผิวด้านนอกเริ่มเป็นสีน้ำตาล ให้เสียบเทอร์โมมิเตอร์ลงไปในส่วนที่หนาที่สุด หากอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 54 ℃ หรือระดับมีเดียมแรร์ก็ถือว่าใช้ได้แล้วค่ะ
- ขั้นตอนที่ 4 : นำเนื้อออกจากเตาอบแล้วนำมาหุ้มด้วยฟอยล์ห่ออาหาร พักเนื้อทิ้งไว้ 30 นาทีเพื่อให้เนื้อมีความชุ่มฉ่ำมากขึ้นค่ะ ระหว่างนั้นเราจะมาทำซอสกันต่อค่ะ นำถาดอบเนื้อมาวางตนเตาแล้วเปิดไฟกลาง เติมน้ำลงไป 1 – 1.5 ถ้วยแล้วเคี่ยวจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีเลยค่ะ จากนั้นหยิบเอาผักออกให้หมด หันมาละลายแป้งมันแล้วเทลงในซอสที่เคี่ยวไว้ คนให้เข้ากันดีและซอสมีความเหนียวข้นมากขึ้น เทใส่ถ้วยซอสแล้วเสิร์ฟพร้อมเนื้อที่พักไว้
พาเนตโทเน่ (Panettone)
พาเนตโทเน่จะเป็นขนมปังก็ไม่ใช่ จะเป็นเค้กก็ไม่เชิงค่ะ เมนูนี้เป็นที่นิยมในอิตาลีโดยเฉพาะที่มิลานที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของพาเนตโทเน่เลยก็ว่าได้ค่ะ ตัวขนมปังจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เนื้อสัมผัสด้านนอกอาจจะดูแข็ง ๆ ไปหน่อยแต่บอกเลยว่าด้านในนี่นุ่มและฉ่ำมาก เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผลไม้และเหล้ารัม ในส่วนของรสชาติจะมีความหวานละมุน สามารถเก็บไว้ทานได้นาน เหมาะกับการทานหลังอาหารมื้อหลักหรือของคาวค่ะ
วัตถุดิบผลไม้อบ
- ลูกเกดดำ
- ลูกเกดสีทอง
- ผลไม้อบแห้ง (แอปริคอต, เปลือกส้มเชื่อม, เชอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ )
- อัลมอนด์แท่ง
- ดาร์ครัม
- น้ำร้อน
วัตถุดิบขนมปัง
- แป้งสาลีอเนกประสงค์
- ไข่ไก่
- ผิวส้มขูด
- น้ำตาลทราย
- เกลือ
- ยีสต์
- เนยจืด
- กลิ่นวานิลลา
- น้ำมันพืช
- น้ำเปล่า
วิธีทำพาเนตโทเน่
- ขั้นตอนที่ 1 : เราจะทำ starter กันก่อนค่ะ เริ่มจากผสมแป้งสักหนึ่งถ้วยกับยีสต์ให้เข้ากันก่อน จากนั้นเติมน้ำแล้วคนให้เข้ากัน ปิดฝาพักให้ก้อนแป้งขยายตัวขึ้นเป็น 2 เท่า ไม่ควรปิดฝาจนสนิทนะคะเพราะยีสต์ต้องการอากาศในการหายใจค่ะ ระหว่างนั้นเราจะมาผสมลูกเกด, ผลไม้อบแห้ง, ดาร์ครัม และน้ำร้อนเล็กน้อยให้เข้ากัน แช่ทิ้งไว้ให้ลูกเกดดูดของเหลวเข้าไป ตรงนี้เราจะแช่ไว้ข้ามคืนพร้อมกับแป้งโดว์ค่ะ
- ขั้นตอนที่ 2 : starter ฟูดีแล้วเราจะนำมาตีกับไข่ไก่จนเข้ากัน ตามด้วยผิวส้มขูด, น้ำตาล และกลิ่นวานิลลา ผวมแป้งสาลีกับเกลือให้เข้ากันแล้วแบ่งเทใส่ starter ที่ตีไว้ก่อนหน้าทีละครึ่ง ตีต่อจนเข้ากันดี จากนั้นเราจะเปลี่ยนหัวตีเป็นแบบตะขอแล้วนวดแป้งด้วยความเร็วต่ำจนเนื้อเนียนและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากนั้นใส่เนยลงไปทีละน้อยแล้วนวดต่อจนแป้งเนื้อเนียนนุ่มและเงาวาวมากขึ้น จากนั้นเราจะปั้นให้เป็นก้อนกลม ฉีดสเปรย์น้ำมันบาง ๆ แล้วคลุมด้วยพลาสติกแร๊พแล้วพักแป้งในตู้เย็น 1 – 2 คืนค่ะ
- ขั้นตอนที่ 3 : วางถ้วยพาเนตโตเนลงในพิมพ์อบเค้กขนาดตามต้องการ จากนั้นหันมาโรยแป้งบนเขียงหรือโต๊ะสะอาด จากนั้นเทแป้งโดว์ลงไปแล้วใช้ไม้รีดให้เนื้อขนมปังนุ่มขึ้น จัดรูปทรงให้แป้งเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า กรองเอาของเหลวที่แช่ผลไม้ออกแล้วนำผลไม้มาโรยบนแป้งให้ทั่ว ตามด้วยอลัมอนด์หั่นแท่ง ออกแรงกดให้ผลไม้และอัลมอนด์ลมลงไปในตัวแป้งเล็กน้อย
- ขั้นตอนที่ 4 : แบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วนตามแนวขวางด้วยสายตา จากนั้นพับแป้งมาทบกัน (เหมือนแผ่นพับ) ตอนนี้แป้งจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำซ้ำอีกครั้งจนแป้งมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส พยายามบีบรอยต่อหรือรอยแตกให้ติดกันเพื่อกันไม่ให้ไส้ด้านในไหลออกมา ใช้อุ้งมือขึ้นรูปให้แป้งมีลักษณะเป็นก้อนกลม
- ขั้นตอนที่ 5 : วางขนมปังลงไปในพิมพ์ที่เตรียมไว้ก่อนหน้า เอาด้านที่เป็นรอยต่อลงด้านล่างนะคะ จากนั้นพักแป้งประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงหรือจนกว่าจะฟูขึ้นเป็นสองเท่า ใกล้ครบเวลาแล้วเราจะวอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 190 ℃ แป้งขึ้นฟูดีแล้วเราจะกรีดแป้งด้านบนเป็น 4 ส่วนเพื่อทำให้รูปทรงขนมปังสวยขึ้นค่ะ จากนั้นวางเนยเย็น ๆ หนึ่งชิ้นลงไปตรงกลาง ไม่ต้องหั่นหนามากนะคะ ประมาณครึ่งนิ้ว
- ขั้นตอนที่ 6 : อบขนมปังที่อุณหภูมิ 160 – 165 ℃ เป็นเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นวางฟอยล์ปิดด้านบนขนมปังแล้วอบต่ออีก 40 – 45 นาที ครบเวลาแล้วลองเอาเทอร์โมมิเตอร์จิ้มลงไปในเนื้อขนมปัง วัดให้ได้อุณหภูมิประมาณ 90 ℃ จากนั้นนำออกจากเตาอบ นำเค้กออกจากพิมพ์เค้กแล้วพักบนตะแกรงให้เย็นสนิทก่อนเสิร์ฟค่ะ
สโตเลน (Christmas Stollen)
สโตลเลนเป็นขนมปังคริสต์มาสของชาวเยอรมันค่ะ เมนูนี้มีความพิเศษเพราะจะทำกันแค่ปีละครั้งเท่านั้นค่ะ ตัวขนมปังจะมีส่วนผสมของผลไม้อบแห้งแช่บรั่นดีหอม ๆ ไส้ด้านในจะเป็นแท่งอัลมอนด์บด ส่วนด้านนอกจะปกคลุมไปด้วยน้ำตาลไอซิ่งสีขาวโพลนจนเหมือนหิมะในฤดูหนาว เมนูนี้จะทำแล้วทานเลยก็ได้แต่เราแนะนำให้ห่อเก็บไว้ประมาณ 2 สัปดาห์เนื้อขนมปังจะนุ่มและฉ่ำขึ้นเพราะถูกบ่มด้วยบรั่นดีค่ะ ถึงขั้นตอนการทำและวัตถุดิบจะเยอะหน่อยแต่บอกเลยว่าทำเสร็จแล้วจะคุ้มค่าแน่นอนเพราะสามารถเก็บไว้ทานได้นานเลย
วัตถุดิบผลไม้
- ผลไม้รวมอบแห้ง
- ผิวส้มอบแห้ง (candied citrus peel)
- บรั่นดีหรือเหล้ารัม
วัตถุดิบหัวเชื้อสปันจ์
- แป้งสาลีอเนกประสงค์
- น้ำตาลทรายป่นละเอียด
- ยีสต์
- นมสด
วัตถุดิบแป้งโดว์
- ไข่ไก่
- แป้งสาลีอเนกประสงค์
- อัลมอนด์บดละเอียด
- ผิวส้มขูด
- ลูกกระวานป่น
- ดอกจันทน์แห้งป่น
- อบเชยป่น
- เนยจืด
- เนยใส
- น้ำตาลไอซิ่ง
- น้ำตาลทรายป่นละเอียด
- เกลือ
- กลิ่นวานิลลา
วิธีทำสโตเลน
- ขั้นตอนที่ 1 : ผสมผลไม้อบแห้ง, เปลือกส้มอบ และบรั่นดีให้เข้ากันค่ะ ไม่ต้องใส่บรั่นดีเยอะเกินไปนะคะ เอาแค่ให้เคลือบผิวผลไม้หรือประมาณเกือบครึ่งหนึ่งของผลไม้ที่ใส่ลงไปค่ะ พยายามคลุก ๆ ให้ทั่วเลยนะคะ สามารถเปลี่ยนมาใช้เหล้าแบบไทย ๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ จากนั้นปิดฝาแล้วพักทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องหนึ่งคืนเพื่อให้ผลไม้ดูดบรั่นดีเข้าไป
- ขั้นตอนที่ 2 : ผลไม้พร้อมแล้วมาทำหัวเชื้อกันค่ะ อุ่นนมให้พอร้อนเล็กน้อย จากนั้นผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์, น้ำตาล และยีสต์ให้เข้ากัน เทนมลงผสมให้เข้ากันดีแล้วปิดด้วยพลาสติกแร๊พทิ้งไว้ให้ยีสต์ทำงานและแป้งขึ้นฟูเป็น 2 เท่า
- ขั้นตอนที่ 3 : นำหัวเชื้อที่ได้มาผสมกับแป้งสาลีอเนกประสงค์, เนยจืด, ไข่ไก่, ไข่แดง, น้ำตาลทราย, ผิวส้มขูด, เครื่องเทศทั้งหมด,เกลือ และกลิ่นวานิลลา ตีให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันก่อนค่ะ จากนั้นนวดต่อจนได้แป้งเนื้อเนียน คลุมด้วยพลาสติกแร๊พทิ้งไว้ให้แป้งขึ้นฟู 2 เท่า ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเราจะปั้นอัลมอนด์บดให้เป็นแท่งยาวเตรียมไว้
- ขั้นตอนที่ 4 : ครบเวลาแล้วเราจะชกไล่ลมออก จากนั้นเทผลไม้ที่แช่ไว้ลงไปแล้วนวดให้เข้ากัน ถ้าในผลไม้ยังมีของเหลวเหลืออยู่ให้เทของเหลวออกก่อนนะคะ นวดไปเรื่อย ๆ จนผลไม้กระจายตัวและเข้ากับแป้งได้ดีเลยค่ะ ถ้าแป้งโดว์ดูเหลวไปสามารถเติมแป้งสาลีได้ทีละน้อยจนแป้งดูโอเคขึ้น โรยแป้งสาลีบนโต๊ะแล้วเทแป้งโดว์ลงนวดต่ออีกหน่อย
- ขั้นตอนที่ 5 : ใช้ไม้รีดแป้งโดว์ให้เป็นวงรีและมีความหนาเท่า ๆ กัน จากนั้นวางแป้งเป็นแนวตั้งแล้ววางอัลมอนด์บดที่ปั้นไว้ลงไปตรงกลาง พับแป้งด้านซ้ายและขวามาทบกันและพยายามบีบให้คลุมอัลมอนด์จนมิด พักแป้งทิ้งไว้ประมาณ 1.3 ชั่วโมงให้แป้งฟูขึ้นเป็นสองเท่า ระหว่างนั้นเราจะวอร์มเตาอบที่อุณหภูมิ 175 – 180 ℃
- ขั้นตอนที่ 6 : แป้งฟูขึ้นแล้วนำเข้าอบเป็นเวลา 30 – 40 นาทีหรือจนกว่าแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง สุกดีแล้วนำออกมาพักประมาณ 5 นาทีแล้วใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มให้ทั่วเพื่อให้เนื้อขนมปังพรุนเล็กน้อย จากนั้นทาเนยใสบาง ๆ ให้ทั่วผิวขนมปังแล้วโรยน้ำตาลไอซิ่งให้ทั่ว จากนั้นพักให้เย็นก่อนหั่นเสิร์ฟ
บทส่งท้าย
และนี่ก็คือเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส ส่วนใหญ่แล้วชาวคริสต์หรือชาวตะวันตกมักจะทำอาการมื้อใหญ่ในวันคริสต์มาสอีฟหรือวันที่ 24 ธันวาคมและเผื่อแผ่ถึงวันคริสต์มาสเพราะในวันนี้ผู้คนมักจะไม่ทำอาหารหรือทำงานหนักเพราะถือว่าเป็นวันหยุดพักผ่อน แต่ถึงแม้ว่าช่วงปลายปีจะเป็นแค่ฤดูหนาวสำหรับชาวตะวันออกและไม่มีหิมะสักเม็ด เทศกาลคริสต์มาสก็ยังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง หลาย ๆ คนมักจะจัดงานฉลองเล็ก ๆ ในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน และอาหารยอดนิยมเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศและช่วยให้ทุกคนอินกับเทศกาลคริสต์มาสมากขึ้น นอกจากนี้การดูหนังคริสต์มาสยังเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานและเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้สุด ๆ ค่ะ