สูตรขนมไร้แป้ง ทำกินเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องง้อร้าน

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ช่วงนี้กักตัวอยู่แต่บ้านเบื่อกันรึป่าวคะ? เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเบื่อกันใช่ไหมคะ? เพราะในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนักอยู่ขณะนี้ การจะออกไปเช็คอินตามคาเฟ่ ทานขนมอร่อย ๆ พร้อมกับดื่มชานมไข่มุกเย็น ๆ ก็ดูจะยากลำบากและเสี่ยงเกินไป ยิ่งสำหรับคนไทยเเล้วการทานของคาวก็ต้องตามด้วยของหวานตบท้าย ซึ่งของหวานที่นิยมมากก็คงจะเป็นเบเกอรี่กันใช่ไหมคะ?

แน่นอนว่าเบเกอรี่นั้นมีแคลลอรีที่สูงเพราะเป็นของหวานที่ใช้ทั้ง แป้ง เนย ครีม และน้ำตาลเป็นส่วนผสมหลัก แม้ว่าปัจจุบันจะมีทั้งอาหารทางเลือกมากมายอย่างสารให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือการใช้เนยจืดแท้ 100% ที่ดีต่อสุขภาพ แต่ในเรื่องของแป้งนั้นก็ยังไม่มีอะไรสามารถมาแทนกันได้ ในเมื่อเราไม่สามารถใช้แป้งในการทำเบเกอรี่ได้ ทำไมเราไม่ลองทำ “เบเกอรี่แบบไร้แป้ง” กันดูละคะ?

วันนี้เราจะชวนเพื่อนๆ มาทำขนมเบเกอรี่ไร้แป้ง อร่อย ๆ เอาใจสายคลีนกันค่ะ และยังดีต่อสุขภาพด้วยนะ สูตรที่เพื่อน ๆสามารถทำเองได้ง่าย ๆ วัตถุดิบก็หาง่ายมากด้วยค่ะ เรามาใช้เวลาแก้เบื่อกับการทำขนมทานกับครอบครัว เพื่อน ๆ หรือเด็ก ๆที่บ้าน เป็นกิจกรรมดีๆ ถ่ายรูปขนมคลีน ๆ อัพลงโซเซียลเก๋ ๆ หรือจะทำเป็นของขวัญมอบให้กับคนพิเศษในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันเกิด วันปีใหม่ หรือวันวาเลนไทน์ กันได้นะคะ เราไปดูกันเลยว่าจะมีขนมอะไรบ้าง

1. เค้กโอวัลติน

เค้กโอวัลติน เนื้อนุ่ม หนึบๆ ราดด้วยซอสโอวัลติน หวานแบบพอดีๆ โรยด้วยท็อปปิ้งให้เนื้อสัมผัสกรุบๆ เข้มข้นถึงรสโอวัลติน ได้ยินแบบนี้เเล้วรับรองถึงความอร่อยเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโอวัลตินรสชาติดั้งเดิม หรือโอวัลตินรสมอลต์ เเบบหวานน้อยก็สามารถทำเค้กโอวัลตินแสนอร่อยๆได้ แถมเมนูนี้ยังให้ประโยชน์เต็มๆ ที่อุดมไปด้วยมอลต์จากข้าวบาร์เลย์ และยังมีวิตามินบี 12 และอื่นๆอีก 15 ชนิดด้วยกันเลยค่ะ (1) ทั้งมีประโยชน์เเละอร่อยแบบนี้ เราไปทำเพื่อเอาใจเด็กๆที่ชอบโอวัลตินกันเลยค่ะ

วัตถุดิบของเค้กโอวัลติน

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • นมข้นหวาน 1 ชต.
  • ผงโอวัลติน 150 กรัม
  • ผงฟู 1 ชช.

วัตถุดิบส่วนของซอสราดเค้กโอวัลติน

  • ผงโอวัลติน 6 ชต.
  • น้ำร้อน 2-3 ชต.
  • ท็อปปิ้ง

วิธีทำเค้กโอวัลติน

เริ่มจากขั้นตอนเเรกกันเลยนะคะ ให้เตรียมไข่ไก่ 2 ฟอง เเนะนำว่าไข่ไก่ต้องสด เพื่อลดกลิ่นคาว จากนั้นใช้ตะกร้อมือตีไข่ขาวและไข่แดงให้เข้ากัน เติมนมข้นหวาน สูตรนี้จะหวานแบบพอดี ๆ นะคะ หากใครชอบหวานมากก็เติมเพิ่มความหวานตามต้องการได้เลยค่ะ

จากนั้นก็นำผงโอวัลตินและผงฟู มาร่อนลงไปผสมกับไข่ไก่และนมข้นค่ะ เเล้วคนส่วนผสมให้เข้ากัน จนเนื้อเข้ากันดีค่ะ พยายามอย่าให้ผงโอวัลตินจับตัวเป็นก้อน เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีเเล้วนำพิมพ์หรือถาดอบขนมมารองด้วยกระดาษไขหรือหากไม่มีกระดาษไขให้ใช้น้ำมันทาพิมพ์แทนค่ะ เพื่อที่จะได้นำเค้กออกจากพิมพ์ได้ง่ายไม่ติดพิมพ์ เทส่วนผสมที่เตรียมไว้ เคาะพิมพ์ 2-3 ครั้ง เเละใช้ไม้จิ้มส่วนผสมเพื่อไล่ฟองอากาศ

เสร็จแล้วนำไปนึ่งใช้ไฟกลาง นึ่งไปประมาณ 25-30 นาทีค่ะ หลังจากนึ่งไป 30 นาที ให้เพื่อนๆใช้ไม้จิ้มเนื้อเค้กเพื่อเช็คว่าเค้กของเราสุกดีเเล้วรึยัง ถ้ามีของเหลวติดมาให้นึ่งต่อจนสุกนะคะ แต่ถ้าไม่มีของเหลวติดไม้จิ้มมาเเสดงว่าสุกดีเเล้ว จึงสามารถนำออกจากพิมพ์ ตั้งพักทิ้งไว้ให้เย็น เท่านี้ก็จะได้เค้กเนื้อนุ่ม หนึบ ๆ แล้วค่ะ

จากนั้นก็มาเตรียมส่วนของซอสราดเค้กกันค่ะ ใช้ผงโอวัลตินกับน้ำร้อนคนผสมเข้าด้วยกัน โดยค่อยๆ เติมน้ำร้อนทีละนิด สังเกตให้มีลักษณะข้น ๆ แต่ระวังอย่าให้เหลวจนเกินไป เท่านี้ก็นำซอสที่ได้มาเทราดบนก้อนเค้กได้เลยค่ะ เเละตบท้ายด้วยการแต่งหน้าท็อปปิ้งได้ตามใจชอบเป็นอันเสร็จพร้อมทาน


2. เค้กกล้วยคาราเมล

เมนูนี้เราจะนำกล้วยหอมสุกๆ มารังสรรค์เค้กกล้วยคาราเมลกันค่ะ ที่เคลือบด้วยคาราเมลแบบฉ่ำ ๆ ให้เนื้อสัมผัสนุ่ม ฉ่ำละมุนลิ้นมาก ๆ เลยค่ะ มีกลิ่นหอมของกล้วยหอมสุกเตะจมูกมากกก เเถมใช้วัตถุดิบน้อยหาได้ง่ายมากค่ะ สามารถหาซื้อได้ใน 7-11 เลยน้า มีครบเลยค่ะ ทำง่ายมาก ๆ แถมยังดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ สามารถรับประทานกันได้ทั้งครอบครัวเลยน้า

วัตถุดิบเค้กกล้วยคาราเมล

  • กล้วยหอมสุก 3 ลูก ( สำหรับแต่งหน้าเค้ก 1 ลูก)
  • นมจืด 180 มล.
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 4 ชต.
  • น้ำเปล่า 1 ½ ชต.

วิธีทำเค้กกล้วยคาราเมล

ขั้นตอนเเรกเราจะมาทำตัวคาราเมลกันก่อนเลยค่ะ นำน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าใส่กระทะที่เตรียมไว้ก่อนค่ะ เเล้วเปิดแก๊สด้วยไฟกลางๆตั้งทิ้งไว้โดยที่ไม่ต้องคนนะคะ ให้เพื่อนๆใช้วิธีร่อนกระทะไปมา จนน้ำตาลเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เเล้วสีก็จะเริ่มเข้มขึ้น ให้ใส่น้ำเพิ่มไป ½ ชต. ร่อนส่วนผสมไปนิดหน่อย ดูสีของคาราเมลอย่าให้สีเข้มเกินไปนะคะ จากนั้นก็นำคาราเมลที่ได้ไปเทใส่พิมพ์เค้กหรือภาชนะที่เตรียมไว้ในขณะที่คาราเมลยังร้อน ๆ โดยเทราดให้ทั่วพิมพ์เเล้วพักทิ้งไว้ เพื่อให้คาราเมลของเราเซ็ตตัวค่ะ

ต่อไปก็มาทำในส่วนของตัวเค้กกล้วยหอมกันค่ะ นำกล้วยหอมสุก นมจืด และไข่ไก่ มาปั่นให้ละเอียด ให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน หั่นกล้วยที่ใช่ทำเป็นท็อปปิ้ง เป็นเเว่น ๆ นำมาเรียงใส่ในพิมพ์ที่ราดคาราเมลไว้แล้ว จากนั้นนำส่วนผสมของตัวเค้กเทใส่ลงไป ปิดพิพม์ด้วยกระดาษฟอยล์ให้แน่น นำไปนึ่งประมาณ 50 นาทีค่ะ โดยใช้แก๊สไฟกลาง เมื่อนึ่งเสร็จเเล้วก็นำเค้กกล้วยหอมออกจากพิมพ์โดยการคว่ำใส่ภาชนะหรือจาน เท่านี้เราก็จะได้เค้กสีสวย ๆ หอมกลิ่นกล้วยแล้วค่ะทุกคน


3. เค้กฟักทองคลีน

เค้กฟักทองคลีนไร้แป้ง เอาใจสายฟักทองกันบ้างนะคะ เนื้อนุ่มฟู หวานน้อย เหมาะสำหรับสายคลีน หรือคนที่กำลังลดน้ำหนัก เเละฟักทองก็ยังมีประโยชน์มากมาย ให้เเคลอลีต่ำ, ไฟเบอร์สูง, มีวิตามินสูง, ช่วยบำรุงผิวพรรณ, บำรุงสายตา, มีสารต้านอนุมูลอิสระ, สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง, ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ควบคุมระดับน้ำตาลที่ดีต่อผู้ป่วยเบาหวานด้วยนะคะ (2) ว่าไปแล้วเมนูนี้ทั้งอร่อยเเถมยังมีประโยชน์ก็ไปลองทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบเค้กฟักทองคลีน

  • ฟักทองนึ่งสุก 300 กรัม
  • กล้วยหอมสุก 1 ลูก
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • ผงฟู ½ ชช.
  • เมล็ดเจีย หรือธัญพืช 10 กรัม
  • งาขี้ม้อน 1 ชต.

วิธีทำเค้กฟักทองคลีน

จัดเตรียมฟักทอง 1 ซีก แบ่งเป็นท่อน ๆ ปอกเปลือก เเล้วนำไปล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้น ๆ นึ่งด้วยไฟกลาง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จนสุกและมีเนื้อนิ่ม นำฟักทองที่แล้วนึ่งสุกมาบดให้ละเอียด ใส่กล้วยหอมสุกตามลงไปแล้วบดให้เป็นเนื้อเดียวกัน

ต่อมาก็นำไข่ไก่มาทำการแยกไข่ขาวกับไข่แดงค่ะ นำไข่แดงไปผสมกับฟักทองกล้วยที่เตรียมไว้ บดให้เข้ากัน เมื่อเข้ากันดีแล้วก็ใส่ผงฟูลงไปเพื่อให้ตัวเค้กฟู ๆ ค่ะ และนำเมล็ดเจียกับงาขี้ม่อนหรือธัญพืชใส่ผสมกันไปเลยค่ะ เเล้วพักทิ้งไว้

จากนั้นนำไข่ขาวที่เเยกไว้นำมาตีด้วยเครื่องตีไฟฟ้า (หรือถ้าไม่มีสามารถใช้ตะกร้อมือแทนได้ค่ะแต่อาจต้องใช้เวลาหน่อย) ตีให้ขึ้นฟู ตั้งยอดอ่อน ๆ แล้วเทไปผสมกับฟักทองบด ใช้ไม้พายค่อย ๆ คนส่วนผสมให้เข้ากันอย่างช้า ๆ นะคะ พอส่วนผสมเข้ากันดีเเล้ว นำไปเทใส่พิมพ์รองด้วยกระดาษไข เคาะไล่อากาศ 2-3 ครั้ง ท๊อปปิ้งโรยหน้าด้วยงาขี้ม่อนสักหน่อยคะ นำไปอบอุณหภูมิไฟอยู่ที่ 160 องศา ประมาณ 40-50 นาทีเลยค่ะ เสร็จพักทิ้งไว้ให้เย็นก่อน จะนำออกจากพิมพ์นะคะ หลังจากเค้กเย็นตัวเเล้วก็สามารถรับประทานได้เลยค่ะ


4. บราวนี่โกโก้

เมื่อพูดถึงบราวนี่ทุกคนต้องคิดว่าเป็นขนมที่ค่อนข้างหวานเเละอ้วนด้วยใช่ไหมคะ เเต่วันนี้ลืมเรื่องความอ้วนเเละความหวานไปเลยค่ะ จากบทความก่อนที่เราทำบราวนี่จากหม้อทอดไร้น้ำมันกันไปแล้ว มันนี้เราจะมาทำบราวนี่ สูตรคลีนกันสำหรับคีโต หรือคนเป็นเบาหวานทานได้นะคะ เนื้อบราวนี่จะนุ่มเบามากคะ เนื้อสัมผัสจะออกไปด้านเค้กเลย สูตรนี้เราจะเติมความหวานโดยใช้น้ำตาลมะพร้าวที่ดีต่อสุขภาพนะคะ อร่อยได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วนค่ะ เรามาให้บราวนี่เยียวยาใจกันดีกว่า กับสูตรบราวนี่คลีนกันเลย

วัตถุดิบบราวนี่โกโก้

  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • น้ำมันมะพร้าวอุ่น ๆ 6 ชต.
  • โกโก้ 4 ชต.
  • น้ำตาลทรายอริทร์นอล 7. ชต.
  • อัลมอนต์บดละเอียด 60 กรัม
  • ผงฟู ½ ชช.
  • กลิ่นวานิลา 1 ชช.
  • เกลือ ครึ่งของ ⅛ ชช

วิธีทำบราวนี่โกโก้

เริ่มเเรกเราทำการแยกไข่ขาวกับไข่แดงก่อนเลยค่ะ ขั้นตอนนี้ระวังหน่อยนะคะในการแยกไข่ขาวไข่แดงอย่าให้ไข่แดงป่นไปกับไข่ขาวเลยนะคะ ไข่ต้องสดด้วยค่ะ เพราะทำให้การตีไม่ขึ้นฟูนั้นเองค่ะ เมื่อทำการเเยกไข่เสร็จเเล้ว ก็เอาน้ำมันมะพร้าวไปอุ่นแล้วใส่ผงโกโก้ เกลือ คนส่วนผสมให้เข้ากัน เเล้วพักทิ้งไว้ค่ะ

ต่อมาก็นำไข่ขาวที่เตรียมไว้ ใช้เครื่องตีไฟฟ้าตีให้พอขึ้นฟองหยาบๆก่อนนะคะ แล้วค่อยๆ ทยอยใส่น้ำตาล 3 รอบ แต่ละรอบให้ห่างกันสักประมาณ 15 วินาที ตีไปจนไข่ขาวตั้งหยดเเข็งเลยค่ะ เเล้วนำไข่แดงมาผสมกับไข่ขาว ตีส่วนผสมให้เข้ากันต่อเลย แล้วนำโกโก้ที่พักทิ้งไว้มาเท คนผสมโดยใช้ตะกร้อมือ ค่อยๆผสมให้เข้ากันอย่างเบามือคะ

จากนั้นก็เติมอัลมอนต์บด ผงฟู และกลิ่นวานิลา เพิ่มความฟูความหอมกันค่ะแล้วคนผสมให้เข้ากันอีกครั้งค่ะ แล้วค่อยเทใส่พิมพ์ที่รองด้วยกระดาษไข นำไปอบที่ไฟอุณหภูมิ 170 องศา ประมาณ 15-20 นาที เมื่อครบเวลาเเล้ว ให้ทดสอบความสุกของบราวนี่ด้วยไม้ฟันจิ้มดูนะคะ เมื่อบราวนี่สุกแล้วก็ให้พักทิ้งให้เย็นสนิทก่อนนำออกจากพิมพ์ จากกันก็ตัดแบ่งชิ้น พร้อมรับประทานให้อร่อย ๆ กันเลยจ้า


5. ขนมหม้อแกงถั่ว

ไหน ๆ ใครคิดถึงหม้อแกงเพชรบุรีกันบ้างเอย? แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้จะเดินทางก็ลำบาก เรามาทำขนมหม้อแกงถั่วกันให้หายคิดถึงดีกว่า โดยขั้นตอนไม่ซับซ้อนเเละไม่ยากอย่างที่คิดเลยค่ะ เพื่อนสามารถทำเองได้ เรื่องรสชาติไม่เเพ้หม้อแกงเมืองเพชรบุรีเเน่นอนคะ อร่อย หอมเข้มข้น ทานเเล้วต้องติดใจแน่นอนค่ะ ไม่มีส่วนผสมของแป้งอีกด้วยน้า อย่ารอช้าเราไปลองทำกันเลยคะ

วัตถุดิบขนมหม้อแกงถั่ว

  • ถั่วเขียวซีดบด 300 กรัม
  • ไข่เป็ด 7 ฟอง
  • น้ำกะทิ 600 มล
  • น้ำตาลมะพร้าว 310 กรัม
  • น้ำตาลทราย 40 กรัม
  • ใบเตย 4 ใบ
  • งาขี้ม่อน 2 ชต
  • หอมแดงซอย 100 กรัม
  • น้ำมันพืช 1 ถต.

วิธีทำขนมหม้อแกงถั่ว

ขั้นตอนเเรกเรามาทำหอมเจียวกันก่อนเลยนะคะ ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันพอเดือด นำหอมแดงซอยเทใส่เจียวจนหอมมีสีน้ำตาลอ่อน กลิ่นหอม เเล้วนำไปกรองน้ำมันออก แล้วพักที่เอาไว้ค่ะ

จากนั้นมาทำในส่วนของตัวหม้อแกงกันค่ะ นำไข่เป็ดตอกใส่ภาชนะ เเล้วนำใบเตยหั่นท่อนขยำไปกับไข่เป็ด เพื่อที่จะลดกลิ่นคาวของไข่เป็ดค่ะ ขยำไปเรื่อยๆจนไข่ข้นฟูแล้วนำออกใบเตยออก และใช้น้ำตาลมะพร้าวกับน้ำตาลทรายใส่ลงไปขยำจนน้ำมะพร้าวกับน้ำตาลทรายละลายเข้ากันกับไข่ เมื่อน้ำตาลละลายดีเเล้ว ค่อยทยอยเทน้ำกะทิใส่เเล้วขยำผสมกันไปเรื่อยๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันดีค่ะ

ต่อมาก็นำตะแกรงมากรองส่วนผสมของหม้อแกง 1 รอบ เพื่อที่จะได้เนื้อหม้อแกงที่เนียน สวย แล้วนำถั่วเขียวบดเทใส่ลงไปผสมกัน ค่อยๆใช้มือขยำส่วนผสม ก็นำงาขี้ม่อนใส่ลงไป แล้วค่อย ๆ คนเบา ๆ นะคะ จากนั้นก็เตรียมหม้อหรือกระทะ นำน้ำมันที่เจียวหอมแดง เทใส่ลงไป 4 ชต. เเล้วค่อยนำตัวหม้อแกงเทใส่ลงไป ให้ตั้งไฟกลาง ๆ เพื่อตุ่นตัวหม้อแกง และค่อยคนไปตลอดจนเนื้อหม้อแกงเริ่มข้นเลยค่ะ เมื่อหม้อแกงเริ่มข้นเเล้ว ก็นำมาเทใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม เเละเคาะพิมพ์เพื่อไล่อากาศ

ก่อนนำหม้อแกงไปอบ ในเพื่อน ๆ วอมเตาอบด้วยไฟอุณหภูมิที่ 200 องศา ประมาณ 20 นาทีก่อนนะคะ จากนั้นนำหม้อแกงเข้าไปอบต่อที่อุณหภูมิ 170 องศา ประมาณ 40 นาที เมื่อครบเวลาเเล้วนำหม้อแกงมาเช็คความสุกดูค่ะ จากนั้นทาน้ำมันที่ตัวหน้าหม้อแกงให้มีความเงาเเวว สวย และมีกลิ่นหอมของเจียวหอมด้วยค่ะ เสร็จเรียบร้อยเเล้วพักทิ้งให้หม้อแกงเย็นสนิทก่อนนะคะ เเล้วค่อยๆตัดแบ่งชิ้น โรยด้วยหอมเจียว ก่อนรับประทาน แต่ถ้ายิ่งเเช่ทิ้งไว้ข้ามคืน บอกเลยค่ะ ว่าเนื้อหม้อแกงจะฉ่ำ อร่อยยิ่งขึ้นค้า


6. เค้กอัลมอนด์

เมนูนี้เอาใจสายคนชอบกินอัลมอนด์หน่อยค่ะ เมื่อพูดถึงอัลมอนด์เเล้วเป็นธัญชืพที่มีประโยชน์มากมายเลยที่เดียว มีกิล่นหอม รสชาติดี เชื่อว่าสาวๆสายคลีนต้องชอบเเน่ๆ กับเค้กอัลมอนด์ไร้แป้ง ไม่ใส่น้ำมัน ไม่ใส่เนย เเถมไม่อ้วนอีกด้วยยยย เนื้อเค้กจะนุ่มฟูเบา หอมอร่อยด้วยเนื้อของอัลมอนด์ที่ผสมไปกับเนื้อเค้ก ยิ่งท็อปไปด้วยครีมกับอัลม่อนด์สไลด์อีก ยิ่งทำให้ฟินมากขึ้น รสชาติหวานกำลังดี ไม่เลี่ยนเลยค่ะ เมื่อทานคู่กับเครื่องดื่มชาสมุนไพรหรือกาแฟสด อร่อยคูณสองไปอีกค้าาา

วัตถุดิบของตัวเค้กอัลมอนด์

  • ไข่ขาว 4 ฟอง
  • น้ำตาลทราย 8 ชต.
  • เกลือ 1/8 ชช
  • น้ำมะนาว 1/2 ชช
  • อัลมอนด์บด 140 กรัม

วัตถุดิบของครีมปาดเค้กอัลมอนด์

  • ไข่แดง 4 ฟอง
  • น้ำตาล 7 ½ ชต
  • เกลือ 1/8 ชช
  • กลิ่นวานิลลา 1 ชช
  • วิปปิ้งครีม 120 กรัม
  • เนยสดจืด 120 กรัม
  • น้ำตาลทรายเม็ดละเอียด 1 กรัม
  • อัลมอนด์สไลด์ 50 กรัม

วิธีทำเค้กอัลมอนด์

เริ่มแรกเรามาเตรียมท็อปปิ้งไว้ก่อนเลยค่ะ นำอัลมอนด์สไลด์ ใส่ลงไปในกระทะ คั่วด้วยไฟอ่อน ๆ คั่วจนสีเริ่มเหลือง เเล้วนำไปพักทิ้งไว้ค่ะ

เสร็จเเล้วก็ทำการแยกไข่ขาวกับไข่แดง จากนั้นก็นำไข่ขาวมาผสมกับเกลือ เเล้วตีด้วยเครื่องตีไฟฟ้าให้ขึ้นฟองหยาบ ๆ ทยอยใส่น้ำตาลเเบ่งเป็น 3 รอบ รอบละประมาณ 15 วินาที ตีจนตั้งยอดเเข็ง เมื่อได้ตั้งยอดแข็งเเล้ว ให้นำอัลมอนด์บดเทใส่ลงไปแบ่งใส่ 2 รอบ ค่อยใช้ไม้พายคนส่วนผสมอย่างเบามือให้เข้ากันดีค่ะ

จากนั้นเตรียมพิมพ์รองด้วยกระดาษไขไว้เลยค่ะ 2 อัน อันนี้เราจะทำเป็น 2 ชั้นนะคะ พร้อมเเล้วนำตัวเค้กตักใส่พิมพ์ ค่อยเกลี่ยปาดให้เนื้อเค้กทั่ว เคาะพิมพ์ 2-3 ครั้ง อบไฟอุณหภูมิที่ 175 องศา เป็นเวลา 20 นาที เมื่อครบเวลาให้นำเค้กออกจากพิมพ์ เเล้วพักทิ้งไว้ให้หายร้อนนะคะ เราก็จะได้เนื้อเค้กนุ่มเเล้วค่ะ

ต่อมาก็จะไปเตรียมส่วนครีมปาดหน้าเค้กกันค่ะ นำไข่แดงที่เเยกไว้ตะลอน เเล้วนำวิปปิ้งครีมเทใส่ลงไปค่อยๆตีส่วนผสม แล้วเติมน้ำตาลทราย เกลือ ผงวานิลาลงไปผสมให้เข้ากันค่ะ และนำไปตุ๋นโดยใช้ไฟอ่อน คนตลอดเวลา ส่วนตรงนี้ระวังด้วยนะคะเพื่อน ๆ อย่าให้ตัวซอสเดือด ใช้เวลาตุ๋นประมาณ 7 นาทีค่ะ จนได้เนื้อซอสข้น ก็นำไปเเช่เย็นไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวซอสหายร้อน

ระหว่างนี้เรานำเนยเค็มใส่ภาชนะ เเล้วตีให้เนื้อเนียน จากนั้นใส่น้ำตาลทรายลงไปตีต่อให้ขึ้นฟู เเล้วนำซอสไข่แดงที่เเช่เย็นไว้มาเทใส่ลงไปที่ละช้อน ตีไปเรื่อย ๆ จนหมด เมื่อส่วนผสมจนเข้ากันดีเเล้ว ให้นำไปปาดหน้าเค้กชั้นแรก ค่อยปาดครีมให้ทั่วเค้ก เเล้วนำเค้กชิ้นที่สองวางซ้อนไป ทำการปาดครีมอีกรอบจนทั่วเค้ก ทั้งบริเวณรอบข้าง ๆ ด้วยนะคะ เเละตบท้ายด้วยนำโรยท๊อปปิ้งอัลมอนด์ที่เตรียมไว้ ก็พร้อมรับประทาน เสริฟคู่กับเครื่องดื่ม เเค่นี้ก็ฟิน ๆ สุดไปเลยค่ะ


7. เค้กช็อกโกแลต

กลับมาเมนูที่เอาใจเด็ก ๆ กันอีกหนึ่งเมนูกันดีค่ะ ขึ้นชื่อว่าช็อกโกแลตแล้วใครก็ชอบ ยิ่งช็อกโลเเลตเน้น ๆ เเบบนี้อีก ใครละจะห้ามใจไหว กับเค้กช็อกโกแลตไร้แป้งสูตรนี้เลยค่ะ เนื้อสัมผัสของตัวเค้กด้านในจะนุ่มด้วยส่วนผสมของไข่ไก่ และเข้มข้นช็อกโกแลตมาก ยิ่งเมื่อทานคู่กับวิปปิ้งครีมหรือไอศรีมด้วยจะอร่อยสุดๆเลยค่ะ ว่าไปเด็กๆ สาวๆคนไหนจะอดใจไม่ไหวเรามาทำทานเองกันเลยค่ะ

วัตถุดิบเค้กช็อกโกแลต

  • ดาร์กช็อกโกแลต 170 กรัม
  • เนยสดเค็ม 60 กรัม
  • ไข่ไก่ 4 ฟอง
  • น้ำตาลทราย ½ ถต.
  • ผงโกโก้ 2 ชต.

วิธีทำเค้กช็อกโกแลต

เริ่มจากนำดาร์กช็อกโกแลตกับเนยมาละลายโดยใส่ไมโครเวฟ 30 นาที เมื่อช็อกโกแลตละลายเรียบเเล้ว ให้พักทิ้งไว้ให้พออุ่น ๆ ค่ะ จากนั้นเเยกไข่ขาวกับไข่แดง นำไข่แดงมาผสมกับช็อกโกแลต เเล้วตีส่วนผสมให้เข้ากัน

ต่อมาทำการตีเมอแรงค์กันค่ะ นำไข่ขาวตีด้วยเครื่องตีไฟฟ้า จนขึ้นฟองหยาบ จากนั้นค่อยทยอยแบ่งใส่น้ำตาลทั้งหมด 3 รอบ ตีจนเมอเเรงค์ตั้งยอดอ่อน แล้วนำไปผสมกับช็อคโกเเลต แบ่งใส่ทีละครึ่งนะคะ โดยใช้ไม้พายค่อยคนส่วนผสมอย่างเบามือ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีเเล้ว ให้นำไปเทใส่พิมพ์ ก่อนอบอย่าลืมเคาะพิมพ์เพื่อไล่ฟองอากาศด้วยนะคะ

ในการอบเราจะใช้ไฟอยู่ที่อุณหภูมิ 140 องศา ประมาณ 50 นาทีค่ะ เมื่ออบเสร็จเเล้ววางพักไว้ให้เค้กเย็นสนิท จากนั้นให้นำออกจากพิมพ์ได้เลยค่ะ เเละทำการตกแต่งเค้กด้วยการนำผงโกโก้มาร่อนโรยหน้าได้เลยค่ะ


8. คุกกี้ธัญพืช

สาว ๆ คนไหนที่กำลังลดน้ำหนัก และโปรดปรานกับคุกกี้กันบ้าง? วันนี้มีเมนูคุกกี้ไร้แป้ง ที่ทำให้ไม่อ้วนได้ง่าย ที่อัดเเน่นด้วยหลากหลายธัญพืชเน้น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีกรดไขมันจำเป็นเช่นโอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ บำรุงระบบประสาท (3) เหมาะกับคนมี่รักสุขภาพด้วยค่ะ เป็นสูตรคลีน คีโต ทานเล่นเป็นอาหารว่างแก้หิวให้กับสาว ๆ ที่ลดน้ำหนัก เคี้ยวเพลินไม่ต้องกลัวอ้วนเลยค่ะ

วัตถุดิบคุกกี้ธัญพืช

  • อัลมอนด์ 100 กรัม
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม (อบสุกครึ่งหนึ่ง)
  • เมล็ดฟักทอง 50 กรัม
  • เมล็ดแตงโม 50 กรัม
  • แครนเบอร์รี่อบแห้ง 100 กรัม
  • คอนเฟลก 50 กรัม
  • งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
  • งาดำคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง ( ใช้เฉพาะไข่ขาว )
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
  • อัลมอนด์เต็มเมล็ดอบ 50 กรัม
  • เกลือป่น

วิธีทำ

เริ่มจากนำอัลมอนด์สไลด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม แครนเบอร์รี่อบแห้ง (แนะนำแครนเบอร์รี่อบแห้งให้นำไปแช่น้ำสัก 10 นาทีก่อนนะคะ เพื่อที่ว่าเวลาอบนั้นจะไม่ทำให้แครนเบอร์รี่อบแห้งเเห้งจนเกินไปคะ) เเล้วเสริมความกรอบด้วยคอนเฟลก เเละใส่งาดำกับงาขาวลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นใส่ไข่ขาว น้ำผึ้ง เเละเติมเกลือป่นเล็กน้อย คนให้เข้ากันอีกรอบ จนไข่ขาวเคลือบส่วนผสมทุกส่วน เพื่อที่จะให้ธัญพืชเกาะติดกันค่ะ

จากนั้นนำถาดรองกระดาษไข ใช้บล็อกขนมรูปวงกลมใส่ธัญพืชลงไป ค่อยเกลี่ยให้พอดี ไม่ให้หนาจนเกินไป นำก้นแก้วกดอัดใส่ธัญพืชให้เเน่น ทำไปเรื่อย ๆ จนหมด เสร็จแล้วก็นำเข้าอบ ใช้ไฟที่อุณหภูมิ 130 องศา ประมาณ 20-25 นาที ตรงนี้ให้สังเกตดูสีของคุกกี้นะคะ เมื่ออบเสร็จเเล้ว ตัวคุกกี้จะเหนี่ยว ๆ หน่อย ให้พักทิ้งให้เย็นสนิทก่อนรับประทานนะคะ


9. ช็อกโกแลต มูส 

ใคร ๆ ก็ว่ากันว่าเมื่อกล้วยจับคู่กับช็อกโกแลตก็อร่อย เราไม่พลาดเมนูง่ายๆให้กับเพื่อนกันค่ะ กับช็อกโกแลตมูสกล้วยหอม เนื้อสัมผัสของมูสที่นุ่มละมุนลิ้น ให้กินหอมของกล้วยหอมอีกด้วยค่ะ รับรองเมนูนี้ไม่เลียนเลยค่ะ เราจะใส่โยเกิร์ตเพิ่มความเปรี้ยวนิด ตัดเลี่ยนไปด้วย ไม่ต้องใช่เตาอบ ทำง่ายมาก ๆ คะ พูดมาขนาดนี้สนใจกันเเล้วใช่ไหมคะ? เราไปดูขั้นตอนการทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบช็อกโกแลต มูส กล้วยหอม

  • กล้วยหอมสุก 2 ลูก
  • น้ำผึ้ง 1 ชต
  • ผงโกโก้ 1 ชต
  • ดาร์กช๊อกโกแลต 1 ชต
  • ข้าวโอ๊ต 1 ชต
  • กลิ่นวานิลลา 1/2 ชช
  • โยเกิร์ต
  • ท็อปปิง ผลไม้ ธัญพืช

วิธีทำช็อกโกแลต มูส กล้วยหอม

เริ่มแรกให้เพื่อน ๆ ทำการหั่นกล้วยหอมเป็นเเว่น ๆ ใส่โถปั่น ตามด้วยนมจืด เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งสักนิดค่ะ เเล้วใส่ผงโกโก้ ข้าวโอ๊ต แล้วเติมความหอมด้วยกลิ่นวานิลา จากนั้นให้ละลายดาร์กช็อกโกแลต เเล้วมาเทผสมเข้าด้วยกัน ปั่นจนละเอียด เราก็จะได้เนื้อมูสช็อกโลเเลตที่ข้น ๆ ไม่เหลวเกินไป ก็นำภาชนะถ้วยหรือแก้วไวน์สวย ๆ มาเทมูสใส่ลงไปครึ่งนึงก่อนค่ะ เเล้วใส่โยเกิร์ตเพื่อเพิ่มความละมุน รสชาติอมเปรี้ยวนิด ๆ เพื่อไม่ให้เลียนเกินไป เเล้วเทมูสไปอีกหนึ่งชั้น จากนั้นก็เเต่งหน้ามูสท็อปปิงด้วยผลไม้หรือธัญพืชได้ตามใจชอบกันเลยค้าาา


10. ชีสเค้ก

จบด้วยเมนูสุดท้ายกับชีสเค้กไร้แป้งง่าย ๆ กันนะคะ เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ทำง่าย วัตถุไม่เยอะด้วย เพื่อนๆถูกใจกับความละมุนนี้เเน่นอนค่ะ เพราะด้วยเนื้อเค้กที่เนียบนุ่มละมุนลิ้นมากกกก เค้กเด้ง ๆ ดึ่ง ๆ ละลายในปากเลยน้าาา รสชาติหวานอมเปรี้ยว หอมอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ เมื่อราดซอสแยมผลไม้ต่าง ๆ อย่างแยมส้ม, แยมสตรอว์เบอร์รี่ จิบเครื่องดื่มร้อน ๆ เย็น ๆ เเล้วยิ่งฟิน อร่อยสุด ๆ เลยค่ะ พูดเเล้วก็อย่ามั่วรอช้าเราไปลองทำกันเลยค่ะ

วัตถุดิบชีสเค้ก

  • ไข่ไก่ 4 ฟอง
  • ครีมชีส 250 กรัม
  • นมข้นหวาน 8 ชต.
  • น้ำตาลทราย 5 ชต.

วิธีทำชีสเค้ก

ขั้นตอนเเรกเรามาทำการแยกไข่ขาวออกจากไข่แดงก่อนค่ะ เพื่อที่จะใช้ไข่ขาวในการทำเมอเเรงค์นะคะ ตรงนี้เพื่อน ๆ ต้องระวังหน่อยนะคะ ในการเเยกไข่ขาวอย่าให้ไข่แดงติดไปกับไข่ขาว ไม่งั้นเมอแรงค์ของเราจะไม่ขึ้นฟู เมื่อเเยกไข่เสร็จเเล้ว เราก็นำไข่แดง มาตีให้เนื้อไข่แดงสีเริ่มอ่อนลงค่ะ จากนั้นใส่ครีมชีสลงไปตีผสมเข้ากันกับตัวไข่แดง และเติมนมข้นหวาน หากให้ใครชอบทานหวานก็สามารถเติมนมข้นหวานเพิ่มลงไปได้เลยนะคะ ก็ตีส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง เสร็จเเล้วก็ทำกันปิดฝาภาชนะ พักทิ้งเอาไว้กันค่ะ

เราก็มาต่อกันที่ตัวเมอแรงค์กันนะคะ ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟองหยาบ ๆ ให้ทยอยแบ่งใส่น้ำตาลทราย ด้วยกัน 3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ห่างกันประมาณ 15 วินาทีค่ะ จนได้เนื้อเมอเเรงค์ที่ตั้งยอดอ่อน จากนั้นให้เพื่อน ๆ ตีเมอเเรงค์ที่ระดับความแรงต่ำสุดอีกครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศ สักประมาณ 30 วินาทีค่ะ

เสร็จเเล้วก็นำเมอเเรงค์ไปผสมกับส่วนแรก โดยเพื่อน ๆ ต้องแบ่งใส่ไข่ขาว 3 ส่วน ค่อย ๆ ผสมที่ละส่วนอย่างเบามือไม่เเรง หรือนานเกินไป วนไม้พายไปในทิศทางเดียวกันจนส่วนผสมเข้ากันค่ะ จากนั้นก็นำไปเทใส่พิมพ์ รองด้วยกระดาษไข สูตรชีสเค้กนี้ต้องรองกระดาษไขนะคะ

ไม่เเนะนำให้ทาน้ำมันบนพิมพ์ เพราะตัวเค้กนิ่มมาก ถ้าไม่รองกระดาษไข ตอนนำออกจากพิมพ์จะทำให้ตัวเนื้อเค้กเเตกได้ง่ายมากค่ะเมื่อเทใส่พิมพ์เรียบร้อยเเล้วให้เพื่อน ๆ นำน้ำใส่ถาด เเล้ววางพิมพ์ลงไปในถาด ก่อนอบในทำการวอร์มเตาอบก่อน 10 นาที อุณหภูมิที่ 170 องศา จากนั้นก็ทำการอบชีสเค้ก ต่อที่ 40 นาที เสร็จเเล้วก็สามารถนำออกจากพิมพ์ ตัดแบ่งชิ้นพอทานได้เลยค่ะ


เป็นไงกันบ้างค่ะกับ 10 เมนูขนมไร้เเป้ง ได้สูตรขนมหวานที่ดีต่อสุขภาพไปเยอะกันเลย หวังว่าเพื่อน ๆ เด็ก ๆ จะถูกใจกันนะคะ เพราะวิธีการทำก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด อีกทั้งยังขนมที่เด็ก ๆ สาว ๆ โปรดปรานกันด้วย คนที่ตั้งใจกำลังลดน้ำหนัก ก็ขอเเนะนำเลยค่ะขนมที่คลีน ๆ ให้ได้ทำทานเล่นกันเองที่บ้าน หรือจะสามารถสร้างแนวทางการสร้างเป็นรายได้ให้คนที่กำลังหางานทำอยู่ได้เลยค่ะ

สำหรับใครที่เริ่มหลงรักกับการทำขนมเเล้วเนี่ย เรามีสูตรขนมอื่นๆ ด้วยกับ เมนูขนมไทย, เมนูจากขนมปัง, เมนูข้าวเหนียว, ไอเดียทำแซนด์วิช , คุกกี้เนย, เมนูจากข้าวโอ๊ต, เมนูจากไข่ขาว หรือเมนูสำหรับคนเป็นเบาหวาน ลองเข้าไปดูกันนะคะ หวังว่าเพื่อน ๆ จะถูกใจกัน สำหรับวันนี้ก็ขอตัวไปก่อนค่ะ รอบหน้าจะมีเมนูอะไรมาเเนะนำ อย่าลืมติดตามกันนะคะ


References :

  1. มอลต์ (malt)
  2. ฟักทอง
  3. ธัญพืช