เมนูสำหรับคนเป็นเบาหวาน ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด รสชาติถูกปาก

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญของร่างกาย สาเหตุหลักของโรคเกิดจากการที่ตับอ่อนที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลินออกมาน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือเซลล์บางส่วนของร่างกายไม่ตอบสนองหรือไม่เปิดรับอินซูลิน ทำให้อินซูลินที่ถูกผลิตออกมาทำงานได้ไม่เต็มที่ หน้าที่ของอินซูลินคือเข้าไปในกระแสเลือดแล้วเปลี่ยนน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่เมื่ออินซูลินทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่เต็มที่ น้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดจึงยังอยู่ที่เดิม ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน มิหนำซ้ำน้ำตาลเหล่านั้นยังมีระดับที่เพิ่มมากขึ้นจากการทานอาหารต่าง ๆ เข้าไป ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ, หลอดเลือดสมอง, โรคเกี่ยวกับตา, ไตวาย หรืออาจจะส่งผลถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและทันท่วงที (1,2,3)

อินซูลิน คือฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ถูกผลิตและส่งออกโดยตับอ่อน อินซูลินรับหน้าที่เป็นหัวหน้าในการควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต เมื่อคุณทานอาหารเข้าไป อาหารเหล่านั้นจะถูกย่อยและแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือกากอาหารและสารอาหารคล้ายกับการทำงานของเครื่องคั้นน้ำผลไม้แบบแยกกาก ในขั้นตอนแรกทั้งสารอาหารและใยอาหารจะถูกย่อยรวมกันในกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นจึงถูกส่งต่อไปยังลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ตามลำดับ ระหว่างการเดินทางเซลล์ในลำไส้จะดูดซึมเอาสารอาหารต่าง ๆ ออกไปเรื่อย ๆ เหลือไว้เฉพาะกากอาหาร สารอาหารที่ถูกดูดซึมออกไปจะกระจายตัวอยู่ในกระแสเลือดของเรา หนึ่งในนั้นก็คือคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส หลังจากในกระแสเลือดมีน้ำตาลอยู่มากจนเกินไปอินซูลินจะออกมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนจากบริษัททัวร์ พาน้ำตาลเดินทางผ่านเซลล์เพื่อไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายในรูปของพลังงาน ทำให้ในเลือดมีน้ำตาลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แออัดมากจนเกินไปและทำให้ส่วนอื่นของ ๆ ร่างกายทำงานได้สมดุลมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการที่ตับอ่อนสร้างอินซูลินได้น้อยหรือเซลล์ต่อต้านการทำงานของอินซูลินจึงส่งผลให้เกิดการแออัดของน้ำตาลในเลือดหรือโรคเบาหวานนั่นเองค่ะ (4,5)

เบาหวานมีกี่ชนิด? แต่ละชนิดมีอาการอย่างไรบ้าง?

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 

เบาหวานชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะพบในเด็กและวัยรุ่นมากกว่า ซึ่งเบาหวานชนิดนี้จะเกิดจากการที่ตับอ่อนของคุณผลิตอินซูลินออกมาได้น้อยหรืออาจจะหยุดผลิตอินซูลินไปเลยก็ได้ค่ะ สาเหตุอาจจะเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านเซลล์ที่ผลิตอินซูลินออกมา ส่งผลให้เซลล์เหล่านั้นไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ ผลที่ตามมาก็คือระดับน้ำตาลในเลือดของคุณก็จะสูงและมีกรดคีโตนสะสมในเลือดในปริมาณที่มากกว่าปกติ ซึ่งค่าระดับน้ำตาลในเลือดของคนปกติจะต่ำว่า 100 mg/dL หลังตื่นนอน (5,6,7)

หากค่าระดับน้ำตาลของคุณสูงกว่านี้อาจจะส่งผลให้คุณหมดสติหรือเสียชีวิตได้ คนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จะต้องได้รับการฉีดอินซูลินทุกวันเพื่อทดแทนอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตออกมาไม่ได้เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1จะมีอาการกระหายน้ำมากกว่าปกติ, ริมฝีปากแห้ง, น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว, ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น, เหนื่อยง่ายและดูไร้เรี่ยวแรง, หิวบ่อยขึ้น, แผลหายช้ากว่าปกติ และมีสายตาพร่ามัว   แต่อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนที่ลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิคด้วย ดังนั้นหากคุณมีอาหารดังกล่าวมากกว่า 2 ข้อควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง (5,6,7)

โรคเบาหวานชนิดที่ 2

90% ของคนเป็นโรคเบาหวานมักจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และส่วนมากจะพบในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมากกว่าเด็กหรือวัยรุ่น แต่ถึงอย่างนั้นเบาหวานชนิดนี้ก็สามารถเกิดขึ้นกับเด็กได้เช่นเดียวกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเบาหวานระยะที่ 2 จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของคุณมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน หมายความว่าเซลล์บางตัวที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับอินซูลินมีการผลิตปกติเกิดขึ้น อินซูลินที่ถูกผลิตออกมาถูกใช้งานไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันตับอ่อนของคุณก็ผลิตอินซูลินได้น้อยลงเรื่อย ๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดที่ควรจะถูกเผาผลาญด้วยอินซูลินยังคงตกค้างอยู่ในกระแสเลือดและเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคอาจเกิดขึ้นจากพันธุกรรมหรือเป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิต (5,6,7)

บางคนอาจจะมีสาเหตุมาจากโรคอ้วน ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จะต้องหมั่นออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดและถูกวิธี รวมถึงอาจจะต้องฉีดอินซูลินและรับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์ร่วมด้วย คนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีอาการ กระหายน้ำและปากแห้ง, ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ, รู้สึกหมดแรงหรือเมื่อยล้า, แผลหายช้ากว่าปกติ, มีการติดเชื้อที่เดิมซ้ำ ๆ บนผิวหนัง, สายตาพร่ามัว, รู้สึกเสียวหรือชาบริเวณมือและเท้า และมีความดันโลหิตสูง (5,6,7)

โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

เบาหวานชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงสัปดาห์ที่ 24 – 28 แต่คุณแม่จะมีโอกาสที่จะเป็นโรคเบาหวานเพียงแค่ 2 – 10% เท่านั้นและโรคนี้จะหายไปหลังคลอดบุตร แต่ถึงอย่างนั้นการเป็นโรคนี้ขณะตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อทั้งตัวของคุณแม่และลูกน้อย สาเหตุของการเกิดโรคเกิดมาจากรกของทารกมีส่วนในการขัดขวางการทำงานของอินซูลินในร่างกายของคุณแม่ เมื่ออินซูลินทำงานได้ไม่เต็มที่ระดับน้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับและทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เมื่อคุณแม่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็อาจจะส่งผลให้ลูกน้อยอาจจะมีขนาดตัวโตและมีน้ำหนักแรกคลอดเกินมาตรฐานที่ทำให้การคลอดยากลำบากมากขึ้น (5,6,7)

รวมไปถึงอาการผิดปกติทั้งทางด้านร่างกายและระบบประสาท หรือทั้งคุณแม่และลูกน้อยอาจจะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในอนาคตแม้ว่าโรคนี้จะหายไปแล้วช่วงระยะแรกหลังคลอดแล้วก็ตาม อาการของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะคล้ายกับเบาหวานชนิดที่ 2 นั่นคืออาการกระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย รวมไปถึงอาการอ่อนเพลียต่าง ๆ  ดังนั้นการดูรักษาสุขภาพและการออกกำลังกายเบา ๆ เป็นประจำจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ รวมไปถึงการดูแลอาหารการกินและการตรวจระดับน้ำตาลเป็นประจำด้วย (5,6,7)

สูตรอาหารควบคุมเบาหวาน

เมื่อเราพอจะรู้ถึงอันตรายและความสำคัญของอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานกันแล้ว มาถึงประเด็นหลักที่เราจะนำเสนอในวันนี้กันบ้าง นั่นก็คือ “10 เมนูอาหารควบคุมเบาหวาน” ที่รับรองว่าอร่อย ทำง่าย และมีประโยชน์มาก ๆ จะมีเมนูอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

1. ข้าวต้มปลา

เริ่มต้นมื้อเช้ากันด้วยข้าวต้มปลาร้อน ๆ เมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูที่เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะข้าวต้มหนึ่งถ้วยนอกจากจะมีปริมาณเยอะจนอิ่มท้องแล้วยังเป็นเมนูที่มีไขมันค่อนข้างน้อยและมีรสชาติไม่จัดมาก ส่วนเนื้อสัตว์ที่เราเลือกใช้วันนี้จะเป็นปลากะพงที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ รสชาติหวานอร่อยซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัยค่ะ ส่วนข้าวจะใช้เป็นข้าวกล้องที่ถือว่าเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดี นำมาต้มกับน้ำสต๊อกปลาจนบานนิ่ม เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมเนื้อปลาและโรยหน้าด้วยพริกไทยป่นหอมฟุ้ง รสชาติอ่อน ๆ ไม่เค็มมากจนเกินไปและได้ความหวานจากเนื้อปลาเน้น ๆ เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีเลยทีเดียวค่ะ

วัตถุดิบข้าวต้มปลา

  • ปลากะพง
  • ข้าวกล้องหุงสุก
  • กระเทียม
  • ต้นหอม
  • ผักชี
  • เกลือ
  • พริกไทยป่น
  • น้ำมันพืช
  • น้ำเปล่า

วิธีทำข้าวต้มปลา

ขั้นตอนแรกเราจะนำปลามาล้างทำความสะอาดจนหมดเลือดก่อนค่ะ จากนั้นแล่เอาเนื้อปลาออกมาเป็นชิ้นแล้วหั่นให้มีขนาดตามต้องการ ส่วนกระดูกจะเก็บไว้สำหรับทำน้ำสต๊อกปลาต่อ หรือถ้าเพื่อน ๆ คนไหนซื้อเนื้อปลาที่เป็นชิ้นมาแล้วก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้ค่ะแต่อาจจะไม่มีกระดูกสำหรับทำน้ำสต๊อกนะคะ เสร็จเรียบร้อยแล้วพักปลาเอาไว้ก่อน หันมาหยิบผักไปล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย นำกระเทียมมาบุบให้พอแตก แบ่งบางส่วนออกมาซอยแล้วนำไปเจียวจนเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมันรอไว้เลยค่ะ ส่วนต้นหอมและผักชีเราจะนำมาซอยเตรียมไว้ ตัดรากผักชีออกมาบุบเล็กน้อยให้พอออกกลิ่น

เตรียมวัตถุดิบเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะเทน้ำใส่หม้อแล้วนำขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟกลาง ๆ รอจนน้ำเริ่มเดือดแล้วใส่กระเทียมบุบและรากผักชีลงไป รอต่ออีกนิดจนน้ำเดือดได้ที่แล้วเราจะนำกระดูกปลาลงไปต้มต่อ ใส่กระดูกปลาลงไปแล้วไม่ต้องคนนะคะ อาจจะกด ๆ ให้โดนน้ำทั่วกันได้ค่ะ ต้มกระดูกปลาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30 – 60 นาทีน้ำสต๊อกปลาก็ใช้ได้แล้วค่ะ นำมากรองเอาเฉพาะน้ำแยกไว้ จากนั้นเราจะแบ่งน้ำสต๊อกใส่หม้อแล้วนำขึ้นตั้งไฟ เปิดไฟกลางค่อนแรงจนน้ำเดือดแล้วใส่ข้าวกล้องลงไปได้เลยค่ะ ต้มและคนไปเรื่อย ๆ จนเมล็ดข้าวเริ่มบานเละตามความชอบ จากนั้นปรุงรสชาติด้วยเกลือเล็กน้อย นำเนื้อปลาลงต้มรวมกันแล้วปล่อยให้ปลาสุกโดยไม่ต้องคน หลังจากเนื้อปลาสุกดีแล้วปิดเตา ตักใส่ภาชนะ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว, ต้นหอม, ผักชี และพริกไทยป่นตามชอบค่ะ


2. เกี๊ยวน้ำ

ใครไม่อยากทานข้าวเรามาทำเกี๊ยวน้ำทานกันดีกว่าค่ะ วันนี้ไส้เกี๊ยวของเราจะเป็นอกไก่และเนื้อกุ้งเด้ง ๆ เน้น ๆ มาพร้อมกับน้ำซุปไก่หอมอร่อยที่เราเคี่ยวหัวไชเท้าและโครงไก่จนเปื่อยนุ่มดี นำซุปของเราจะมีรสชาติหวานจากหัวไชเท้าและไก่ ได้รสเค็มปลายลิ้นนิด ๆ ตักเกี๊ยวขึ้นมา กัดเข้าไปคำแรกกลิ่นหอมน้ำมันงาก็ลอยฟุ้งออกมาทั่วทั้งปาก ไส้เกี๊ยวรสชาติอร่อยกลมกล่อม เนื้อสัมผัสเด้ง ๆ หนึบ ๆ ของทั้งไก่และกุ้ง ใกล้ ๆ กันมีผักกวางตุ้งให้ทานเพื่อเพิ่มไฟเบอร์ หรือใครอยากอิ่มท้องจะลวกบะหมี่สักก้อนตามลงไปก็กลายเป็นบะหมี่เกี๊ยวแสนอร่อยแล้วค่ะ ส่วนน้ำซุปยังสามารถเก็บไว้ทำเมนูอื่นได้อีกมากมายเลย

วัตถุดิบเกี๊ยวน้ำ

  • อกไก่
  • โครงไก่
  • กุ้ง
  • ผักกวางตุ้ง
  • หัวไชเท้า
  • ต้นหอม
  • ผักชี
  • เกลือ
  • พริกไทยป่น
  • แผ่นเกี๊ยว
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำมันงา
  • น้ำเปล่า

วิธีทำเกี๊ยวน้ำ

มาต้มน้ำซุปรอกันก่อนดีกว่าค่ะ เริ่มจากล้างทำความสะอาดหัวไชเท้าก่อน จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นตามชอบ นำลงหม้อตามด้วยน้ำปริมาณตามชอบแล้วนำขึ้นตั้งไฟกลางจนน้ำเดือด ล้างโครงไก่ให้สะอาดแล้วนำลงต้มพร้อมกัน รอจนน้ำเดือดอีกครั้งหรี่ไฟลงเป็นไฟกลางค่อนอ่อนแล้วช้อนเอาน้ำมันและฟองออกให้หมดเลยค่ะ วิธีนี้จะช่วยให้ซุปใส ไม่ขุ่น จากนั้นก็ตุ๋นทิ้งไว้จนโครงไก่เปื่อยนุ่มเลยจ้า

ระหว่างรอน้ำซุปเราหันมาล้างทำความสะอาดกุ้งกันต่อดีกว่าค่ะ ปอกเปลือก, ผ่าหลัง และดึงเส้นดำออกให้เกลี้ยง นำกุ้งไปล้างอีกสักรอบแล้วนำมาผึ่งให้สะเด็ดน้ำ หันมาหั่นอกไก่เป็นชิ้นแล้วสับให้ละเอียดต่อเลยค่ะ หรือเพื่อน ๆ จะใช้เครื่องปั่นก็ได้นะคะ เนื้อไก่จะเนียนละเอียดมากกว่า ต่อมาเราจะหยิบเอาผักกวางตุ้ง, ต้นหอม และผักชีมาล้างทำความสะอาด นำต้นหอมและผักชีมาซอยเตรียมไว้สำหรับโรยหน้า ส่วนผักกวางดุ้งหั่นเอาโคนออกแล้วหั่นเป็นท่อน ๆ ความยาวตามชอบเลยจ้า

ต่อมาเราจะผสมไส้เกี๊ยวกันค่ะ เริ่มจากนำกุ้งมาสับเป็นชิ้น ๆ ก่อนเวลาทานจะได้เนื้อกุ้งเต็ม ๆ ฟิน ๆ จากนั้นนำมาผสมกับอกไก่ที่เราเตรียมไว้ก่อนหน้า ปรุงรสด้วยน้ำมันงาและซีอิ๊วขาวเล็กน้อย ใส่ต้นหอมผักชีซอยลงไปอีกนิดแล้วคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเลยค่ะ หยิบแผ่นเกี๊ยวขึ้นมาแล้วตักหมูปาดลงไปบนด้านที่มีแป้งเยอะกว่าแล้วห่อตามชอบได้เลยจ้า ใช้น้ำแตะขอบเพื่อช่วยให้แผ่นแป้งเกาะติดกัน บีบให้แป้งติดกันทั่วทั้งแผ่นเลยค่ะ ทำจนครบแล้วพักไว้ก่อน

หันมาดูน้ำซุปของเรากันบ้าง ถ้ายังมีฟองลอยขึ้นมาเราก็ตักฟองออกให้เกลี้ยงเลยค่ะ ชิมรสชาติเล็กน้อย น้ำซุปจะต้องมีรสชาติหวานนิด ๆ เค็มอ่อน ๆ แต่เนื่องจากตอนต้นเราใส่แค่ผักอย่างเดียวดังนั้นเราจะเพิ่มรสเค็มด้วยเกลือค่ะ ใส่ลงไปพอประมาณ ไม่ต้องเยอะมากนะคะ เสร็จแล้วหยิบหม้ออีกหนึ่งใบใส่น้ำและเกลือเล็กน้อยแล้วต้มให้เดือด นำผักกวางตุ้งลงลวกแค่พอสลดแล้วนำขึ้นพักไว้ในอ่างน้ำเย็นเพื่อหยุดความร้อนและคงความเขียวของผักค่ะ

ต้มน้ำต้มกวางตุ้ง (หรือผักอะไรก็ได้ที่มี) ให้ร้อนอีกครั้งแล้วนำเกี๊ยวที่ทำไว้ลงต้มต่อได้เลยค่ะ แนะนำให้ใช้ไฟกลาง ๆ นะคะถ้าแรงเกินไปแผ่นแป้งจะเปื่อยและไส้ข้างในไม่สุกได้ เกี๊ยวที่สุกแล้วจะสีอ่อนลงและลอยขึ้นมาด้านบน เราจะตักเอาเกี๊ยวขึ้นมาพักไว้แล้วคลุกด้วยน้ำมันงาเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้แผ่นแป้งเกาะติดกันค่ะ ต้มต่อจนหมดแล้วเราจะหยิบเกี๊ยวใส่ภาชนะ ตามด้วยผักกวางตุ้งลวกแล้วราดน้ำซุปตามลงไปเลย โรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี และพริกไทยป่นอีกเล็กน้อยก็พร้อมทานแล้วจ้า


3. แกงส้มกุ้งผักรวม

เปลี่ยนมาทำกับข้าวบ้างดีกว่า แกงส้มเป็นอีกหนึ่งเมนูจัดจ้านเผ็ดร้อนที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ และแกงส้มกุ้งผักรวมก็เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำตาลสุด ๆ ค่ะเพราะเราจะใช้เนื้อกุ้งทีอุดมไปด้วยโปรตีนนำมาแกงรวมกับผักหลากหลายชนิด เมนูนี้แทบจะไม่มีไขมันเลยก็ว่าได้ ส่วนผักเพื่อน ๆ สามารถเลือกใช้ผักที่ชอบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นหัวไชเท้า แครอท ผักกาด ดอกแค กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว สำหรับน้ำแกงสูตรนี้จะมีรสชาติค่อนข้างจัดจ้านขึ้นมาสักเล็กน้อย ได้รสเปรี้ยวนำ เค็มตาม และหอมกลิ่นพริกแกง เหมาะกับไข่เจียวร้อน ๆ ละข้าวสวยสักจานสุด ๆ

วัตถุดิบแกงส้มกุ้งผักรวม

  • กุ้ง
  • กะหล่ำดอก
  • ผักกวางตุ้ง
  • แครอท
  • หัวไชเท้า
  • ข้าวโพดอ่อน
  • ดอกแค
  • พริกแกงส้ม
  • เกลือ
  • น้ำปลา
  • น้ำมะนาว
  • น้ำเปล่า

วิธีทำแกงส้มกุ้งผักรวม

ก่อนอื่นเราจะนำกุ้งมาปอกเปลือก, ผ่าหลัง และล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนค่ะ สำหรับเปลือกกุ้งเราจะล้างและเก็บไว้สำหรับต้มทำน้ำแกงต่อ จากนั้นหยิบผักออกมาปอกเปลือกและล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย หัวไชเท้า, แครอท, กะหล่ำดอก, ผักกวางตุ้ง และข้าวโพดอ่อนนำมาหั่นให้เป็นชิ้นพอดีคำ ส่วนดอกแคเราจะตัดก้านแล้วดึงเอาเกสรออกเพราะเกสรจะทำให้น้ำแกงมีรสขมค่ะ

คราวนี้เราจะตั้งหม้อบนไฟกลาง ๆ นำเปลือกกุ้งลงคั่วกับเกลือจนสุกหอมแล้วใส่น้ำลงไปตามปริมาณที่ต้องการ ต้มต่อจนน้ำเดือดแล้วยกลงกรองเอาเปลือกกุ้งออกให้หมดค่ะ นำน้ำซุปขึ้นตั้งบนเตาอีกครั้ง คราวนี้เราจะใส่พริกแกงลงไปตามความเผ็ดที่ต้องการ คนให้พริกแกงละลายดีและน้ำเดือดจะมีฟองลอยขึ้นมาเล็กน้อยเราจะตักฟองออกแล้วนำหัวไชเท้าและแครอทลงต้มก่อนค่ะ

หัวไชเท้าเริ่มสุกแล้วนำกะหล่ำและข้าวโพดอ่อนลงต่อ คนเล็กน้อยให้เริ่มสุกแล้วนำเนื้อกุ้งใส่ตามลงไป ตามด้วยดอกแคและผักกวางตุ้ง รอจนกุ้งสุกดีแล้วกดให้ผักโดนน้ำจนสุกทั่วถึงกัน ปรุงรสชาติด้วยน้ำปลาเล็กน้อย คนให้เข้ากันแล้วชิมรสชาติตามชอบ ถ้าได้รสชาติที่โอเคแล้วปิดเตาแล้วใส่น้ำมะนาวตามลงไปปิดท้ายค่ะ ชิมอีกครั้งให้ได้รสเปรี้ยวเค็มแล้วตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟได้เลยจ้า


4. ต้มจับฉ่าย

ต้มจับฉ่ายเป็นเมนูผักที่อัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร เพราะวัตถุดิบหลักของเมนูนี้คือผักนั่นเองค่ะ ต้มจับฉ่ายคือเมนูผักที่ต้มจนเปื่อย อาจจะมีการเพิ่มเนื้อหมูหรือไก่เข้าไปด้วยเพื่อให้มีโปรตีนและไม่น่าเบื่อมากจนเกินไป ส่วนผักที่นำมาต้มก็สามารถใช้ได้หมดเลยค่ะ เลือกได้ตามชอบเลย เมนูนี้จะมีรสชาติเค็ม ๆ หวาน ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากผักนั่นเองค่ะ ยิ่งต้มนาน ผักยิ่งเปื่อย รสชาติก็จะยิ่งเข้มข้นอร่อยมากขึ้น เพื่อน ๆ สามารถกดดูวัตถุดิบและวิธีทำเมนูนี้ได้ที่ เมนูอาหารสำหรับมือใหม่: ต้มจับฉ่าย สำหรับคนเป็นโรคเบาหวานแนะนำให้ตัดขั้นตอนการผัดผักและใส่เครื่องปรุงแค่เล็กน้อยเท่านั้นนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองค่ะ


5. ใบเหลียงผัดไข่

ถัดมาเป็นเมนูใบเหลียงผัดไข่ ของอร่อยที่เต็มไปด้วยประโยชน์มากมายเลยค่ะ สำหรับเมนูนี้เราจะเลือกใช้ใบเหลียงที่เป็นยอดเสียวอ่อน ๆ และดึงเอาก้านออกให้เรียบร้อย ใบเหลียงอ่อนจะมีรสชาติหวานอ่อน ๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเลยค่ะ เข้ากันได้ดีกับไข่เป็ดฟองโต ใส่กระเทียมดับกลิ่นคาวไข่อีกนิด ปรุงรสชาติให้ออกหวานนิดหน่อยและมีรสกลมกล่อมจากซีอิ๊วและซอสหอยนางรม ทานคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือแกงส้มเผ็ด ๆ อร่อยสุด ๆ เลยค่ะ ฟินมาก

วัตถุดิบใบเหลียงผัดไข่

  • ใบเหลียง
  • ไข่เป็ด
  • กระเทียม
  • น้ำตาล
  • ซอสหอยนางรม
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำมันพืช

วิธีทำใบเหลียงผัดไข่

นำใบเหลียงมาดึงก้านแล้วล้างนำให้สะอาดก่อนค่ะ จากนั้นหั่นใบเหลียงให้มีขนาดเล็กลงจะได้ทานง่าย ส่วนกระเทียมทุบแล้วสับหยาบ ๆ เตรียมไว้เลยจ้า เสร็จแล้วหยิบไข่ออกมาตอกใส่ภาชนะแล้วตีให้แตกเล็กน้อย หันมาหยิบกระทะขึ้นตั้งเตา ใส่น้ำมันเล็กน้อยตามด้วยกระเทียมแล้วผัดกระเทียมจนหอม จากนั้นนำใบเหลียงใส่ลงไปเลยค่ะ ผัด ๆ คลุก ๆ เล็กน้อยให้พอใบเหลียงสลบแล้วเราจะใส่ไข่ตามลงไป ยีให้ไข่แตกตัวและเริ่มสุกขึ้น ปรุงรสด้วยน้ำตาลเล็กน้อย, ซอสหอยนางรม และซีอิ๊วขาว ผัดจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและไข่สุกดีแล้วตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟจ้า


6. ไก่ผัดขิง

อีกหนึ่งเมนูผัดที่เราอยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองก็คือเมนูไก่ผัดขิงค่ะ พูดถึงขิงหลายคนอาจจะถึงกับร้องยี้เพราะกลิ่นและรสชาติอาจจะไม่ถูกปากสักเท่าไหร่ แต่ขอบอกว่าเมนูนี้อร่อยเหนือความคาดหมายค่ะ เราจะเริ่มจากผัดไก่ให้สุกนุ่มก่อน จากนั้นตามด้วยขิงซอย เมื่อโดนความร้อนขิงจะหอมข้นและความเผ็ดร้อนต่าง ๆ จะลดลง ใส่กระเทียมช่วยดับกลิ่นตามไปอีกนิด มีเห็ดหูหนูให้ความรู้สึกกรุบ ๆ ตอนเคี้ยว มาพร้อมกับต้นหอมและพริกสดเพิ่มความเผ็ดร้อนอีกนิดหน่อย ในส่วนของรสชาตินั้น เมนูนี้จะมีรสชาติหวานกลมกล่อมแต่ไม่มากจนเกินไป ตามมาด้วยรสเค็ม และเผ็ดร้อนจากทั้งพริกสด, ขิง และพริกไทยป่น เป็นการผสมผสานที่ลงตัวเลยทีเดียว

วัตถุดิบไก่ผัดขิง

  • เนื้อไก่
  • ขิงอ่อน
  • พริกขี้หนู
  • ต้นหอม
  • กระเทียม
  • เห็ดหูหนู
  • พริกไทยป่น
  • น้ำตาล
  • ซอสหอยนางรม
  • ซีอิ๊วขาว
  • น้ำมันพืช

วิธีทำไก่ผัดขิง

ขั้นตอนแรกล้างทำความสะอาดทั้งเนื้อไก่และผักก่อนค่ะ จากนั้นหั่นไก่เป็นชิ้นบาง ๆ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป พักไก่ไว้แล้วหันมาหั่นต้นหอมเป็นท่อน ตามด้วยหั่นเห็ดหูหนูเป็นชิ้น ๆ ตามชอบ กระเทียมสับหยาบ ส่วนพริกจะหั่นแฉลบและซอยขิงเป็นเส้น ๆ เตรียมไว้ได้เลยค่ะ หยิบกระทะขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย รอจนน้ำมันร้อนแล้วนำเนื้อไก่ใส่ลงไปได้เลยค่ะ ผัดให้เนื้อไก่เริ่มตึงแล้วใส่กระเทียมตามลงไป ผัดต่อจนไก่ใกล้จะสุกแล้วเราเร่งไฟเป็นไฟกลางค่อนแรงแล้วนำขิงลงผัดจนหอมและนิ่มขึ้น จากนั้นตามด้วยเห็ดหูหนู ปรุงรสด้วยน้ำตาล, พริกไทยป่น, ซอสหอยนางรม และซีอิ๊วขาว ลดไฟลงเป็นไฟกลางแล้วผัดจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นใส่ต้นหอมและพริกแฉลบตามลงไปปิดท้ายค่ะ ผัด ๆ คลุก ๆ อีกนิดหน่อยให้ต้นหอมสลบก็เปิดเตาแล้วตักใส่จานได้เลย


7. ต้มจืดหมูสับ

เมนูต้มจืดหมูสับเป็นอาหารรสชาติอ่อน ๆ ที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย อัดแน่นไปด้วยรสชาติหวานกลมกล่อมของผักกาดขาวและเนื้อสัมผัสแน่น ๆ ของหมูสับที่ปั้นมาเป็นก้อนกลมโต กัดลงไปจะได้รสชาติเค็มอ่อนและรสชาติหวานธรรมชาติจากเนื้อหมูเน้น ๆ เต็มปากเต็มคำ ตามด้วยซดน้ำซุปร้อน ๆ คล่องคอ เหมาะกับการทานในตอนเช้าหรือทานตอนที่อากาศหนาว ๆ มากเลยค่ะ เพื่อน ๆ กดดูวัตถุดิบและวิธีทำอย่างละเอียดได้ที่ เมนูจากผัก: ต้มจืดหมูสับ หรือใครอยากจะมั่นใจสามารถเปลี่ยนจากหมูสับเป็นอกไก่หรือจะเพิ่มเต้าหู้ไข่ก็ได้นะคะ ได้สัมผัสนุ่มนิ่มเพิ่มเข้ามาช่วยให้อร่อยมากขึ้น


8. แกงเลียงกุ้งสด

สำหรับใครที่ต้องการทานผักเน้น ๆ ก็จัดแกงเลียงหม้อใหญ่เลยค่ะ เมนุนี้อัดแน่นไปด้วยผักนานาชนิดที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากความหวานอร่อยแล้วผักบางชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย แต่จะทานผักอย่างเดียวกลัวเพื่อน ๆ จะเบื่อ เรามาเพิ่มโปรตีนด้วยการใส่กุ้งตัวโต ๆ เพิ่มเข้าไปอีกนิด เนื้อกุ้งหวาน ๆ เด้ง ๆ ช่วยให้น้ำแกงหอมอร่อยมากขึ้น นอกจากเนื้อกุ้งแล้วในน้ำแกงเรายังนำเปลือกกุ้งลงไปคั่วและต้มพร้อมกันเพื่อดึงเอากลิ่นและรสชาติมันกุ้งออกมาอีกด้วย ถ้าอยากรู้ว่าวิธีทำแกงเลี้ยงกุ้งสดเป็นยังไงจิ้มไปที่ เมนูจากผัก: แกงเลียงกุ้งสด ได้เลยจ้า


9. น้ำพริกหนุ่ม

ผู้ป่วยเบาหวานหรือคนที่กำลังลดน้ำตาลหลาย ๆ คนพยายามหลีกเลี่ยงการทานน้ำพริก เพราะในน้ำพริกหนึ่งถ้วยมีทั้งน้ำตาลให้ความหวานและความเค็มที่มาจากทั้งกะปิ, เกลือ และน้ำปลา ซึ่งถือว่าไม่ค่อยจะเป็นผลดีสักเท่าไหร่ แต่ก็มีน้ำพริกอีกหนึ่งชนิดที่มีรสชาติอ่อน ๆ และไม่มีส่วนผสมของกะปิและน้ำตาล นั่นก็คือน้ำพริกหนุ่มค่ะ สำหรับน้ำพริกหนุ่มจะมีส่วนผสมหลักคือน้ำพริกหนุ่ม หอมแดง และกระเทียมเท่านั้น อาจจะแต่งรสชาติด้วยเกลือหรือน้ำปลาลงไปเพียงเล็กน้อย รสชาติจะมีรสเผ็ดนิด ๆ และได้กลิ่นหอมอ่อนของกระเทียม มีความหวานมาจากหอมแดงพร้อมกับรสเค็มปลาย ๆ ลิ้น ส่วนขั้นตอนการทำบอกเลยว่าง่ายและไม่ยุ่งยาก ตามไปดูวิธีทำอย่างละเอียดได้ที่ เมนูน้ำพริก: น้ำพริกหนุ่ม เลยจ้า รับรองว่าเพื่อน ๆ จะต้องติดใจและไม่ผิดหวังแน่นอน ยิ่งได้ผักสดเยอะ ๆ ฟินสุด ๆ


10. พาร์เฟ่ต์โยเกิร์ตและธัญพืช

ปิดท้ายกันด้วยเมนูของหวานที่เหมาะกับคนที่กำลังงดน้ำตาลมาก ๆ พาร์เฟ่ต์โยเกิร์ตของเราจะใช้โยเกิร์ตแบบไขมันต่ำที่มาพร้อมผลไม้และธัญพืชอัดแน่นคับถ้วย ไม่ว่าจะเป็นกีวี สตรอว์เบอร์รี หรือบลูเบอร์รีต่างก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำและมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เสริมทัพด้วยข้าวโอ๊ต อัลมอนด์ และเมล็ดแมงลักที่มีส่วนช่วยในกระบวนการขับถ่าย สำหรับเมนูนี้จะมีรสชาติเปรี้ยว ๆ หวานของผลไม้และเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายได้มากเลยทีเดียวค่ะ วันไหนอากาศร้อนจนหงุดหงิดลองทำพาร์เฟ่ต์โยเกิร์ตทานดูนะคะ เย็นชื่นใจแน่นอนจ้า

วัตถุดิบพาร์เฟ่ต์โยเกิร์ตและธัญพืช

  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติสูตรไร้ไขมัน / โยเกิร์ตทำเอง
  • สตรอว์เบอร์รี
  • กีวี
  • บลูเบอร์รี
  • ข้าวโอ๊ตแผ่นอบ
  • อัลมอนด์สไลด์อบ
  • เมล็ดแมงลัก

วิธีทำพาร์เฟ่ต์โยเกิร์ตและธัญพืช

วิธีการทำง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เราจะนำสตรอว์เบอร์รีและกีวีมาหั่นชิ้นเตรียมไว้ก่อนค่ะ จากนั้นนำเมล็ดแมงลักแช่น้ำอุ่นหรือมเพื่อทำให้เมล็ดแมงลักพองตัวเต็มที่ หลังขากเมล็ดแมงลักพองตัวเต็มที่แล้วเราจะมาเรียงพาร์เฟ่ต์กัน เริ่มจากตักโยเกิร์ตใส่แก้วหรือภาชนะที่ต้องการลงไปพอประมาณ ตามด้วยเมล็ดแมงลัก, ข้าวโอ๊ต, กีวี, สตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รี (หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่อะไรก็ได้ค่ะขอแค่งดผลไม้รสหวาน) จากนั้นตามด้วยโยเกิร์ตและอัลมอนด์แล้วเรียงสลับกันไปเรื่อยตามชอบ หรือใครต้องการดีไซน์แบบไหนก็ทำได้ตามชอบเลยจ้า ก่อนทานนำไปแช่เย้นก่อนประมาณ 10 – 15 นาทีก็จะช่วยให้อร่อยสดชื่นมากขึ้นไปอีก


เป็นอย่างไรบ้างคะเพื่อน ๆ กับความรู้และสูตรเมนูอาหารลดน้ำตาลทั้ง 10 เมนูที่นำมาแบ่งปันในบทความนี้ หลายคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นโรคเบาหวานมักจะเครียดและวิตกกังวลว่าฉันจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อไป ไหนจะเรื่องของอาหารการกินต่าง ๆ ฉันจะทำมันได้ไหม แล้วโรคนี้รักษาหายหรือเปล่า ความจริงแล้วคนเป็นโรคเบาหวานสามารถทานอาหารได้แทบจะเหมือนตอนปกติเลยค่ะ เพียงแค่ต้องลดปริมาณน้ำตาลและทานรสจืดกว่าปกติหน่อยเท่านั้น รวมไปถึงการทานผลไม้รสชาติหวาน ๆ ก็ยังทำได้เพียงแต่ต้องแลกกับการลดปริมาณของข้าวหรืออาหารในมื้ออื่น ๆ ลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรจะปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ ที่เราคุมอาหารเพราะต้องการให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เพราะตอนนี้คนที่เป็นเบาหวานมีน้ำตาลในเลือดค่อนข้างสูงอยู่แล้ว และตับก็ยังไม่สามารถผลิตอินซูลินออกมาได้ไม่มากพอ ดังนั้นการทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อยจึงเป็นส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำตาลใหม่ ๆ น้อยลงและมีเวลาในการกำจัดน้ำตาลเจ้าถิ่นที่มีอยู่แล้วมากขึ้น และอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกำจัดน้ำตาลเหล่านั้นได้รวดเร็วมากขึ้นคือการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีเป็นประจำ รวมไปถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายสดชื่นและมีแรงทำงานนั่นเองค่ะ ทั้งนี้สำหรับใครที่รู้ว่าคนป่วยเป็นโรคเบาหวานสามารถใช้สารให้ความหวานแทนน้ําตาลได้หรือไม่? เพื่อน ๆ กดเข้าไปอ่านในลิ้งก์ที่เราใส่ไว้แล้วได้เลยค่ะ


References:

  1. What is Diabetes? – NIDDK
  2. Diabetes – NHS
  3. What is Diabetes? – CDC
  4. Diabetes treatment: Using insulin to manage blood sugar – MayoClinic
  5. Diabetes and insulin – Better Health Channel
  6. Gestational diabetes – Wikipedia
  7. Gestational Diabetes and Pregnancy – CDC