[แจก] สูตรหมักหมูกระทะ ทำกินเองได้ที่บ้าน ปาร์ตี้นี้ไม่มีเบื่อ!

ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด, วันครบรอบ, วันพ่อ, วันแม่, วันวาเลนไทน์, อกหัก, คืนดีกับแฟน, ปิดเทอม, เปิดเทอม หรือปาร์ตี้ปีใหม่ กิจกรรมแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงก็คือการชวนกันมา “ทานหมูกระทะ” ค่ะ การทานหมูกระทะนี่เรียกว่าเป็นกิจกรรมสมานฉันท์ที่สามารถทำร่วมกันได้ได้ทั้งครอบครัว ยิ่งเป็นการทำหมูกระทะทานเองที่บ้านก็จะต้องเตรียมอุปกรณ์มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผัก, น้ำจิ้ม, เครื่องดื่ม, เครื่องเคียง, กับแกล้ม, เตาปิ้งย่าง, หม้อสุกี้พร้อมกระทะ และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “เนื้อสัตว์” นั่นเองค่ะ

แต่จะไปซื้อเนื้อมาจากตลาดแล้วเอามาย่างเลยรสชาติมันก็น่าเบื่อและธรรมดาไปหน่อย ดังนั้นการนำเนื้อสัตว์มาหมักเพื่อเพิ่มรสชาติก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความอร่อยและสร้างความแตกต่างให้กับหมูกระทะค่ะ เอาจริง ๆ แล้วความอร่อยและเอกลักษณ์ของหมูกระทะก็อยู่ที่ความหลากหลายของ “เนื้อหมัก” ที่มีหลายรูปแบบให้เราได้เลือกนี่แหละค่ะ ซึ่งสูตรในการหมักเนื้อก็มีมากมายหลายแบบเลยค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าสูตรหมักหมูกระทะมีอะไรบ้าง

1. หมักหมูทำหมูกระทะทั่วไป สูตรออริจินอล

ก่อนจะไปสูตรอื่นเรามาเริ่มต้นที่สูตรออริจินอลกันก่อนดีกว่าค่ะ สูตรนี้จะใช้วัตถุดิบไม่เยอะมาก เรียกว่าเป็นเบสของหมูหมักเลย นั่นก็คือเราจะต้องเลือกเนื้อสัตว์ที่ชอบมาก่อนค่ะ จากนั้นเราจะต้องมีเครื่องปรุงรสอย่างน้ำตาล, น้ำมันพืช, ซอสหอยนางรม และซีอิ๊วขาว หลังจากวัตถุดิบทั้งหมดครบถ้วนแล้วเราก็จะนำทุกอย่างมาผสมรวมกันเลย คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นวดอีกนิดหน่อยแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงให้เข้าเนื้อ เพียงเท่านี้หมูหมักสูตรออริจินอลก็พร้อมปิ้งแล้วค่ะ ในส่วนของรสชาติก็จะไม่เข้มข้นมากนัก มีความหวาน ๆ เค็ม ๆ เหมาะกับคนที่เน้นทานน้ำจิ้มหรือหมักให้เด็ก ๆ ทานก็อร่อยค่ะ รสไม่จัดมากจนเกินไป


2. หมักหมูสูตรหมักงา

ถัดมาเป็นสูตรหมักงาหอม ๆ เหมือนเดิมค่ะ เลือกเนื้อสัตว์แล้วเราก็มาเตรียมเครื่องปรุงรสกันต่อ สำหรับเมนูนี้จะใช้ไข่ไก่, งาขาวคั่ว, น้ำมันงา, ซีอิ๊วขาว, ซอสหอยนางรม และเบกกิ้งโซดา จากนั้นตอกไข่แล้วตีให้แตกก่อน นำมาผสมกับเครื่องปรุงที่เหลือ คนให้เข้ากันแล้วนำหมูลงหมัก คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงเครื่องปรุงก็จะเริ่มเข้าเนื้อแล้วค่ะ สำหรับสูตรนี้หมูจะหอมน้ำมันงามาก ๆ มีรสชาติกลมกล่อมและเนื้อหมูจะนุ่มฟินสุด ๆ ไปเลยค่ะ สูตรนี้เหมาะกับน้ำจิ้มสุกี้หรือน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้ก็เข้ากันค่ะ


3. หมักหมูพริกไทยดำ

เพิ่มความเผ็ดร้อนขึ้นมาอีกนิดด้วยหมูหมักพริกไทยดำ สูตรนี้รสชาติค่อนข้างจะเข้มข้นและร้อนแรงเพราะเราจะใช้พริกไทยดำป่นหยาบมาผสมกับรากผักชีและกระเทียมสับ ปรุงรสชาติด้วยซอสหอยนางรม, น้ำตาล และซีอิ๊วขาว คนผสมให้น้ำตาลละลายดีแล้วนำเนื้อสัตว์ลงมาคลุกเคล้าจนทั่ว นวดอีกนิดแล้วหมักทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก็สามารถนำมาย่างได้แล้วค่ะ สำหรับสูตรพริกไทยดำจะมีรสชาติเผ็ดของพริกไมยผสมกับความหวานนิด ๆ ของเครื่องปรุง ถ้าย่างจนเนื้อแห้งเกรียมก็จะได้กลิ่นหอมของพริกไทยและกระเทียมเพิ่มมากขึ้น จะทานเนื้อเปล่า  ๆไม่จิ้มน้ำจิ้มก็อร่อยฟินสุด ๆ เหมือนกันค่ะ


4. หมักหมูสูตรเกาหลี

เปลี่ยนมาทำหมูหมักสูตรเกาหลีกันบ้างค่ะ สูตรนี้ต้องถูกใจสายเนื้อย่างเกาหลีแน่นอนค่ะเพราะเราจะนำเนื้อสัตว์ที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว, เนื้อหมู หรือเนื้อไก่มาหมักรวมกับน้ำมันงา, ซีอิ๊วขาว, ซอสถั่วเหลือง และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือซอสพริกเกาหลีหรือโคชูจัง ปิดท้ายด้วยการโรยงาขาวคั่วลงไปให้สวยงามแล้วคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเลยค่ะ หมักไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็สามารถนำมารับประทานได้แล้วค่ะ สูตรนี้เนื้อจะมีสีแดงของซอสโคชูจัง มีกลิ่นหอมงา ส่วนรสชาติก็จะเผ็ดและเค็มนิดหน่อยแต่อร่อยกลมกล่อมค่ะ สำหรับหมูหมักสูตรเกาหลีจะนิยมนำมาห่อผักสดแล้วทานพร้อมกันจะอร่อยฟินที่สุดเลยค่ะ


5. หมักหมูสูตรหม่าล่า

เปลี่ยนมาทานหมูหมักสูตรเผ็ดจากเมืองจีนกันบ้างค่ะ เพื่อน ๆ คงจะเคยทานปิ้งย่างหม่าล่ากันมาบ้างแล้วและก็คงจะทราบกันดีว่าอิทธิฤทธิ์ของซอสหม่าล่านั้นมันเผ็ดร้อนถึงใจแค่ไหน และวันนี้เราก็จะมาดัดแปลงนำซอสหม่าล่ามาหมักกับเนื้อสัตว์แล้วนำไปย่างทานกันค่ะ สำหรับเครื่องปรุงเราก็จะใช้ผงหม่าล่า, ซอสหอยนางรม และน้ำตาลอีกเล็กน้อย คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน เพื่อน ๆ จะใช้หม่าล่าแบบผงกรือเป็นแบบซอสก็ได้นะคะ หลังจากผสมเครื่องทุกอย่างจนเข้ากันดีแล้วนำเนื้อสัตว์ลงมาหมักทิ้งไว้ 1 – 2 ชั่วโมงก็สามารถนำมาย่างได้เลยค่ะ รับรองว่าสูตรนี้เพื่อน ๆ จะได้ทานเนื้อย่างเผ็ดร้อนถึงใจจนแทบไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มแน่นอนเลย แต่ถ้าใครชอบทานรสชาติจัดจ้านเข้มข้นจะนำไปจุ่มซอสหม่าล่าอีกหนึ่งครั้งก็ได้ ไม่ว่ากันค่ะ


6. หมักหมูสูตรบาร์บีคิว

ต่อมาหมักหมูย่างสูตรบาร์บีคิวกันต่อดีกว่า สูตรนี้เราจะนำเนื้อสัตว์มาหมักกับซอสบาร์บีคิว วัตถุดิบที่จะต้องใช้ก็จะมีซอสมะเขือเทศ, เกลือป่น, เนย, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันพืช, น้ำตาล, พริกไทยดำป่น และสับปะรด ส่วนวิธีการทำเราก็จะผสมเครื่องปรุงทั้งหมดให้เข้ากันก่อนค่ะ ส่วนสับปะรดเราจะคั้นเอาเฉพาะน้ำแยกไว้ก่อน นำเนื้อสัตว์มาผสมกับซอสที่เตรียมไว้ให้ทั่วก่อน จากนั้นตามด้วยน้ำสับปะรด คลุกเคล้าอีกครั้งแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก็ใช้ได้แล้วค่ะ ถ้าหมักนานจนเกินไปน้ำสับปะรดจะย่อยเนื้อสัตว์จนเปื่อยยุ่ยมากจนเกินไปค่ะ หลังจากครบเวลาแล้วเราก็จะได้เนื้อย่างที่มีกลิ่นหอม มีความเข้มข้นของซอสมะเขือเทศ รสชาติหวานอมเปรี้ยวและเนื้อนุ่มมาก ๆ เลยค่ะ


7. หมักหมูสูตรอเมริกัน

ทำสูตรบาร์บีคิวแล้วเรามาหมักเนื้อสไตล์อเมริกันอีกหนึ่งสูตรค่ะ สูตรนี้เราจะใช้มัสตาร์ด, เกลือทะเล, พริกไทยป่น, ผงโอลด์เบย์, น้ำมันมะกอก และซอสบาร์บีคิว มาผสมเป็นซอสสำหรับหมักเนื้อสัตว์ หลังจากคลุกเคล้าเนื้อสัตว์กับซอสเสร็จแล้วเราจะนำเนื้อไปหมักทิ้งไว้อีกประมาณ 2 – 3 ชั่วโมงเพื่อรอให้ซอสซึมเข้าเนื้อค่ะ ครบเวลาแล้วเราก็จะสามารถนำเนื้อมาย่างได้แล้วค่ะ เนื้อที่ได้ก็จะมีกลิ่นหอมเครื่องเทศสไตล์ฝรั่ง ถ้าย่างจนกรอบนอกนุ่มในก็จะมีรสชาติและให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับสเต๊กเลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งสูตรหมักหมูที่แปลกใหม่และอร่อยมาก ๆ เลย


8. หมักหมูสูตรญี่ปุ่น

กลับมาทางฝั่งเอเชียกันบ้าง เราจะเปลี่ยนมาหมักเนื้อตามสูตรญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่า สำหรับสูตรนี้เราต้องมีงาขาวคั่ว, พริกไทยป่น, นมข้นหวาน, นมสด, ซอสปรุงรส และโชยุค่ะ ผสมทุกอย่างให้เข้ากันแล้วนำเนื้อสัตว์ลงมาหมัก แนะนำให้เป็นเนื้อไก่นะตะเพราะเนื้อไม่เหนียวและนุ่มกว่าเนื้อหมูค่ะ คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงก็ใช้ได้แล้วค่ะ สำหรับสูตรญี่ปุ่นเนื้อก็จะนิ่ม ๆ หน่อย มีกลิ่นหอมโชยุและงาคั่ว ยิ่งย่างให้กรอบเกรียมก็จะยิ่งหอมค่ะ


9. หมักหมูสูตรหมูนุ่ม

ต่อมาเป็นสูตรหมักเนื้อที่หลายคนชื่นชอบนั่นก็คือสูตรหมักหมูนุ่มนั่นเองค่ะ ขอบอกเลยว่าสูตรนี้ใช้วัตถุดิบง่ายมาก มีแค่ไข่ไก่, ซีอิ๊วขาว, ซอสหอยนางรม, น้ำมันงา, งาขาวคั่ว และเบกกิ้งโซดาค่ะ วิธีการทำก็ง่ายมาก ๆ เพียงแค่เราผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วนำเนื้อสัตว์ลงมาหมักได้เลยค่ะ สูตรนี้จะเหมาะสำหรับการหมักหมูและเนื้อวัวมากกว่านะคะเพราะถ้านำเนื้อไก่ลงมาหมักด้วยเนื้อไก่จะเละง่ายกว่าค่ะ แล้วเราก็แนะนำให้เพื่อน ๆ ใช้เบกกิ้งโซดาแค่ 1 ช้อนชาก็พอแล้วค่ะเพราะถ้าใช้มากเกินไปเนื้อจะเปื่อยยุ่ยมากจนเกินไปแล้วรสชาติจะเฝื่อนได้ ใช้เวลาหมักแค่ 30 นาทีเนื้อก็นุ่มพร้อมทานแล้วค่ะ ขอบอกว่าสุกแล้วเนื้อจะนุ่มและหอมน้ำมันงามาก ๆ เลยค่ะ


10. หมักหมูสูตรนมสด

ปิดท้ายกันด้วยสูตรหมักนมสด สูตรนี้อร่อยถูกใจเด็ก ๆ แน่นอนค่ะ สำหรับสูตรนี้เราจะใช้พริกไทยป่น, เกลือป่น, นมสดหรือนมข้นจืด, น้ำตาลทราย, ซอสปรุงรส, เนยเค็ม และกระเทียมสับอีกเล็กน้อย ผสมวัตถุดิบทั้งหมดให้เข้ากันก่อนแล้วจึงนำเนื้อสัตว์ลงหมัก แนะนำให้ใช้เป็นเนื้อหมูนะคะ คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงก็สามารถนำมาย่างได้แล้วค่ะ ตอนย่างนี่ขอบอกว่ากลิ่นหอมเย้ายวนใจสุด ๆ เนื้อจะหอมนม มีรสชาติมัน ๆ และมีความนุ่มมากเลยค่ะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 10 สูตรหมักหมูกระทะที่เรานำมาแนะนำเพื่อน ๆ ในบทความนี้ แค่อ่านวิธีหมักหมูก็น้ำลายสออยากทานหมูกระทะขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ แหม ก็วิธีหมักเนื้อแต่ละสูตรนี่อ่านแล้วมันช่างง่ายแสนง่ายแถมยังอร่อยฟินอีกด้วย แค่เขียนไปอ่านไปกลิ่นหมูกระทะทิพย์ก็ลอยมาเตะจมูกแล้ว นอกจากหมูกระทะแล้วเรายังมียทความแนะนำเมนูอาหารอีกมากมายเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเมนูก๋วยเตี๋ยว, เมนูจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, เมนูจากอาหารทะเล, เมนูจากหม้อหุงข้าว, เมนูยำ หรือวิธีการทำน้ำจิ้มรสเด็ดก็มีค่ะ ก่อนจากกันไปเราขอทิ้งท้ายด้วยเคล็ดลับในการต้มน้ำซุปให้หอมอร่อยอีกนิด วิธีการทำจะเป็นอย่างไรไปดูกันเลยจ้า

แถม!! สูตรน้ำซุปหมูกระทะอร่อยกลมกล่อม

น้ำซุปเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญของหมูกระทะที่หลายคนมองข้าม น้ำซุปที่หลาย ๆ คนคิดว่าโอ๊ยแค่ใส่น้ำเปล่าลงไป เดี๋ยวตอนใส่ผักใส่เนื้อก็ออกมาอร่อยเองแหละ ขอบอกเลยว่าผิดค่ะ! หมูกระทะจะอร่อยมากขึ้นถ้ามีน้ำซุปที่ดีและอร่อยกลมกล่อม ดังนั้นการทำน้ำซุปก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องใส่ใจ และวิธีการทำน้ำซุปหมูกระทะก็ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ

สำหรับวันนี้เราจะทำน้ำซุปจากผักหรือน้ำสต๊อกผัก ซึ่งผักที่เราใช้ก็จะต้องเป็นผักที่มีรสหวาน ไม่ว่าจะเป็นหัวไชเท้า, ก้านผักกาด, กะหล่ำปลี, แครอท หรือเซเลอรี ก่อนจะต้มเราจะนำผักเหล่านี้เนี่ยมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนแล้วนำไปผัดไฟกลาง ๆ จนผักนิ่มขึ้นและเริ่มมีรอยไหม้สีน้ำตาล ๆ จากนั้นเราจะเทน้ำใส่ตามลงไปแล้วต้มประมาณ 1 ชั่วโมงจนผักเปื่อยนิ่มก็สามารถกรองเอาน้ำมาใช้ได้เลยค่ะ น้ำซุปที่ได้จะมีรสชาติหวานของผักชัดเจนและมีกลิ่นหอม แต่สีของน้ำซุปจะค่อนข้างขุ่นและมีน้ำมันลอยอยู่ด้านบนซึ่งสามารถตักออกได้ค่ะ แต่ถ้าใครต้องการน้ำซุปแบบใส ๆ ก็สามารถนำผักลงต้มได้เลยไม่ต้องนำไปผัดค่ะ แต่น้ำซุปจะจืดกว่าแบบแรกและไม่ค่อยมีกลิ่นหอมของผักมากสักเท่าไหร่นะจ๊ะ