ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้สึกร้อนอบอ้าวจนไม่อยากจะขยับตัวออกไปไหน ไหนจะแดดร้อนจนแสบผิว ไหนจะฝุ่นมลพิษ เห้ออออ ร้อน ๆ แบบนี้เรามาทานผลไม้หวาน ๆ คลายร้อนกันดีกว่าค่ะ บางทีถ้าร่างกายเรารู้สึกเย็นและผ่อนคลายก็อาจจะทำให้ใจของเราเย็นขึ้นมาได้อีกหน่อย ดังนั้นเราดูกันดีกว่าว่าหน้าร้อนแบบนี้มีผลไม้แบบไหนให้เราเลือกทานบ้าง 🍉🍈🍊🍓🍍🔥
การแบ่งกลุ่มผลไม้
ก่อนจะไปเลือกซื้อผลไม้ เรามาแบ่งกลุ่มผลไม้กันก่อนดีกว่าค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วผลไม้แต่ละประเภทมี่ทั้งข้อดีและข้อห้าม รวมไปถึงผลไม้บางประเภทยังไม่ควรทานคู่กับได้อีกด้วย ในทางโภชนาการจะไม่ได้แยกประเภทของผลไม้จากรสชาตินะคะ แต่แยกจากความเป็นกรด (Acid) หรือ ด่าง (Alkaline) โดยใช้ส่วนประกอบของน้ำตาลเป็นตัวชี้วัด
ดังนั้นผลไม้รสเปรี้ยวอาจจะไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่ม Acid และผลไม้รสหวานก็อาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Sweet เสมอไปค่ะ เพราะเมื่อเข้าสู่กระบวนการย่อยอาหาร น้ำตาลจะเปลี่ยนสภาพเป็นกรดและแอลกอฮอล์ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าวหรือผักผลไม้ที่มีแป้งสูงมักจะถูกใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตแอลกอฮอล์ แต่นั่นอาจจะยากไปหน่อยสำหรับคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ดังนั้นเราจะแบ่งผลไม้ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อความสะดวกในการเลือกทานค่ะ

รสเปรี้ยว (acid)
อาหารหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมักจะมีน้ำตาลต่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์สูง โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการย่อยอยู่ที่ 30 นาที โดยประมาณค่ะ ยิ่งมีรสชาติเปรี้ยวเท่าไหร่ก็จะยิ่งใช้เวลาในการย่อยน้อยลงเพราะแทบจะไม่มีอะไรเหลือให้ต้องย่อยนั่นเอง ซึ่งผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วย มะนาว, สับปะรด, สตรอว์เบอร์รี่, มะเขือเทศ, เกรปฟรุต, ทับทิม, ส้ม, เลมอน, องุ่นเขียว, แอปเปิ้ลเขียว หรือแครนเบอร์รี่
รสหวานอมเปรี้ยว (sub-acid)
ผลไม้ในกลุ่มนี้จะมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่ากลุ่มแรกเล็กน้อย ทำให้ร่างกายต้องใช้เวลาในการย่อยนานขึ้นซึ่งอยู่ที่ 40 นาที ดังนั้นใครอยากทานผลไม้รองท้องและไม่อยากให้รู้สึกอิ่มจนเกินไปเราแนะนำให้ทานผลไม้ในกลุ่มนี้จะดีที่สุด เพราะนอกจากจะใช้เวลาในการย่อยที่เหมาะสมแล้วผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวยังสามารถทานคู่กับผลไม้รสเปรี้ยวจัดหรือหวานจัดได้ เนื่องจากค่าความเป็นกรดด่างอยู่ในระดับกลาง ๆ นั่นเองค่ะ ซึ่งผลไม้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ แอปเปิ้ลแดง, มะละกอ, กีวี่, ลิ้นจี่, สาลี่, พีชสุก, ลูกไหนสุก
รสหวาน (sweet)
แน่นอนว่าผลไม้รสหวานมักจะมาพร้อมกับน้ำตาลแบบจัดเต็ม และนั่นก็ทำให้ผลไม้ในกลุ่มนี้ต้องใช้เวลาในการย่อยสูงสุดถึง 60 นาที ถือว่าพอ ๆ กับการย่อยเนื้อปลาเลยค่ะ นอกจากนี้หากกระบวนการย่อยอาหารเหล่านี้ถูกรบกวนก็จะส่งผลให้ร่างกายของเรามีค่าน้ำตาลในเลือดสูงและกลายเป็นไขมันสะสมในเวลาต่อมา เราจึงไม่ควรทานผลไม้รสหวานร่วมกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะผลไม้ในกลุ่มรสเปรี้ยว เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลสูงเกินไปแล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการย่อยอาหารอีกด้วย ผลไม้ในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย กล้วย, อันทผาลัม, ลูกพรุน, ทุเรียน, ลำไย, องุ่นแดง รวมไปถึงผลไม้อบแห้งทั้งหลาย
แตง (melon)
ผลไม้ประเภทแตงจะถูกจัดกลุ่มแยกออกมาต่างหากเนื่องจากมีส่วนประกอบต่างจากผลไม้ชนิดอื่น ๆ อย่างที่เราทราบกันดีว่าแตงมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ทานเข้าไปแล้วเราจะรู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ และเพราะมีน้ำเยอะนี่แหละผลไม้ประเภทแตงจึงใช้เวลาย่อยเร็วมาก แค่ 10 – 15 นาทีก็ย่อยหมดแล้วค่ะ ถึงจะย่อยเร็วแต่การทานแตงร่วมกับผลไม้กลุ่มอื่น ๆ จะเป็นการยืดเวลาในการย่อย ทำให้แตงตกค้างและเน่าเปื่อยอยู่ในลำไส้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายในเวลาต่อมาค่ะ ส่วนผลไม้ในกลุ่มแตงจะประกอบไปด้วย แตงโม, แตงไทย, เมลอน, แคนตาลูป ไปจนถึงแตงกวา
10 ผลไม้หน้าร้อน ตามฤดูกาล
1. มะยงชิด / มะปราง

มะยงชิดและมะปรางถือว่าเป็นผลไม้ประจำหน้าร้อนสำหรับเราค่ะ มะยงชิดจะเป็นผลไม้ที่มีความหอมหวาน มีเส้นใยช่วยในการขับถ่าย และแน่นอนว่าผลไม้รสชาติหวานอย่างมะยงชิดมักจะมีน้ำตาลสูง บอกเลยว่ามีครบทั้งกลูโคส, ฟรุกโทส และซูโครส ดังนั้นเราแนะนำให้ทานมะยงชิดหรือมะปรางแต่พอดี ควรทานคู่กับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเพื่อปรับสมดุลให้แก่ร่างกาย หลีกเลี่ยงการทานคู่กับผลไม้ที่มีรสชาติหวานจัดเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับน้ำตาลสูงจนเกินไปค่ะ
2. สับปะรด
กลับกันเลยค่ะ สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหวาน แต่กลับถูกจัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็น อาจจะเป็นเพราะสับปะรดมีความฉ่ำน้ำและมีความหวานพอสมควร นอกจากนี้สับปะรดยังเป็นผลไม้ที่ช่วยดับกระหายและช่วยย่อยโปรตีนได้ดี เราแนะนำให้ทานสับปะรดสักสามสี่ชิ้นหลังมื้ออาหารหรือหลังทานบุฟเฟต์จะช่วยลดอาการท้องอืดหรือแน่นท้องได้ค่ะ
3. มะม่วง
มะม่วงเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน สามารถทานได้ทั้งแบบดิบและสุก ซึ่งที่มาของรสชาติหวานในมะม่วงก็คือแป้งที่มีอยู่ในปริมาณค่อนข้างสูงนั่นเองค่ะ หากทานมะม่วงเยอะก็จะเท่ากับเราทานแป้งเยอะตามไปด้วย ดังนั้นไม่ควรทานมะม่วงคู่กับผลไม้ที่มีรสชาติหวานหรือผลไม้ที่มีแป้งเยอะอย่างกล้วยหรือฝรั่ง เพราะจะทำให้แป้งและไขมันสะสมในร่างกายเยอะจนเกินไปค่ะ
4. เงาะ
เงาะก็เป็นอีกหนึ่งผลไม้หน้าร้อนที่ไม่ควรพลาดค่ะ ถึงเงาะจะมีปริมาณน้ำตาลสูงพอประมาณแต่ก็มีความฉ่ำและมีน้ำ ช่วยเติมความสดชื่นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี เราแนะนำให้กินเงาะในปริมาณที่พอดี ๆ สลับกับการทานผลไม้ชนิดอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกันเพื่อเพิ่มความหลากหลาย ไม่ควรทานเงาะเยอะมากเกินพอดีเพราะจะส่งผลให้เกิดอาการร้อนในและเจ็บคอได้ค่ะ
5. ทุเรียน
ทุเรียนเป็นราชาแห่งผลไม้ที่ใคร ๆ ก็รู้จักค่ะ ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีรสหวานและมีฤทธิ์ร้อน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่หลายคนทานเข้าไปแล้วมักจะรู้สึกอึดอัดหรือร้อน ๆ ท้องค่ะ ถึงทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย แต่ก็ไม่ควรทานทุเรียนมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากจนเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการร้อนใน รวมไปถึงไม่ควรทานทุเรียนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะทั้งคู่มีฤทธิ์ร้อนซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกาย หรือจะเป็นการทานทุเรียนร่วมกับลำไยก็เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะมีปริมาณน้ำตาลสูงทั้งคู่ค่ะ
6. มังคุด
มีราชาก็ต้องมีราชินีใช่ไหมคะ มังคุดก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีปริมาณน้ำตาลสูงเหมือนทุเรียน แต่สิ่งที่ทำให้มังคุดต่างออกไปคือผลไม้ชนิดนี่มีฤทธิ์เย็น ทานเข้าไปแล้วจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นมากกว่าการทานทุเรียน ดังนั้นหากใครอยากลดความร้อนจากการทานทุเรียนเราแนะนำให้ทานคู่กับมังคุดค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรทานมากจนเกินไปเพราะจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลสูง รวมไปถึงไม่ควรทานมังคุดคู่กับผลไม้ประเภทอื่น ๆ ที่มีน้ำตาลสูงอีกด้วยค่ะ
7. ลำไย
ลำไยเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวาน มีความฉ่ำน้ำ และเป็นผลไม้สุดโปรดของเราเช่นเดียวกันค่ะ ถึงทานเข้าไปแล้วจะหวานฉ่ำชื่นใจแต่ลำไยจัดอยู่ในกลุ่มผลไม้ฤทธิ์เย็นไม่ต่างจากทุเรียน เนื่องจากหากทานเยอะมากจนเกินไปจะทำให้เกิดอาหารร้อนในและทำให้ไม่สบายท้องได้ รวมไปถึงลำไยยังเป็นผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างบนผิวเปลือกค่อนข้างเยอะ ดังนั้นเราแนะนำให้ล้างน้ำจนสะอาดหมดจดก่อนนำมารับประทานจะปลอดภัยว่าค่ะ
8. แตงโม
ถ้าอยากทานผลไม้คลายร้อนเราคิดว่าแตงโมคงเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง จริง ๆ แล้วแตงโมเป็นผลไม้ที่หาทานได้แทบจะตลอดทั้งปีเลยค่ะ แตงโมหรือผลไม้ประเภทแตงต่าง ๆ เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลค่อนข้างเยอะและย่อยง่าย ถึงจุดเด่นจะอยู่ที่การช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ถึงอย่างนั้นเราแนะนำให้ทานแตงโมเดี่ยว ๆ หรือทานคู่กับผลไม้ในตระกูลเดียวกันเพื่อให้ร่างกายสามารถย่อยได้เร็ว ไม่ตกค้างอยู่ภายในลำไส้ รวมไปถึงไม่ควรทานแตงโมมากจนเกินไปและไม่ควรทานรวมกับของทอดเพราะจะทำให้ท้องเสียเนื่องจากจะมีน้ำและน้ำมันในกระเพาะอาหารมากจนเกินไป
9. ขนุน
ขนุนเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อนไม่ต่างจากทะเรียนและลำไย ดังนั้นไม่ควรทานขนุนคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะร่างกายจะมีความร้อนสูงจนเกินไป รวมถึงขนุนยังเป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงซึ่งจะเปลี่ยนเป็นแป้งและน้ำตาลในภายหลัง ไม่ได้มีแต่ข้อเสียนะคะ เพราะคาร์โบไฮเดรตในขนุนจัดเป็นคาร์บเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ช่วยให้อิ่มท้องนาน แถมยังมีไฟเบอร์สูงอีกด้วย
10. มะพร้าว
ปิดท้ายด้วยผลไม้ที่เป็นซิกเนเจอร์ของหน้าร้อนอย่างมะพร้าว จริง ๆ แล้วเนื้อมะพร้าวอยู่ในกลุ่มอาหารฤทธิ์ร้อน ขณะที่น้ำมะพร้าวกลับมีฤทธิ์เย็น ดังนั้นการทานทั้งเนื้อและน้ำน่าจะเป็นการเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกายได้ดีค่ะ ถึงเนื้อและน้ำมะพร้าวดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยอะไร แต่ก็อย่าลืมว่ามะพร้าวมีทั้งน้ำตาลและไขมัน ดังนั้นควรทานแต่พอดีจะดีกว่าค่ะ
ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบว่าผลไม้ฤดูร้อนมักจะมีความหวานฉ่ำซะเป็นส่วนใหญ่ นั่นก็เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวจะทำให้เราขับน้ำออกมาในรูปแบบของเหงื่อเพื่อลดความร้อนและเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้กับร่างกาย ดังนั้นการทานผลไม้ฉ่ำน้ำและมีรสชาติหวานจะช่วยเพิ่มความสดชื่นและความหวานยังทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นอีกด้วย ถือว่าเป็นการลดความเหนื่อยล้าของร่างกายอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้ควรทานผลไม้เป็นลูกที่ไม่ผ่านการแปรรูปเพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำผลไม้, ผลไม้อบแห้ง หรือผลไม้กระป๋องค่ะ
Reference :