นอกจากข้าวหอมมะลิแล้วข้าวเหนียวยังเป็นข้าวอีกหนึ่งชนิดที่นิยมทานกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยตอนบนไปจนถึงประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เพื่อน ๆ ทราบไหมคะว่าการทานข้าวเหนียวนี่ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเลยนะคะ ซึ่งคนไทยในภาคเหนือ – อีสานเนี่ยเขานิยมทานข้าวเหนียวเป็นหลักและทานกันมานานหลายร้อยปีแล้วค่ะ สาเหตุหลัก ๆ ที่คนภาคเหนือและอีสานนิยมทานข้าวเหนียว ก็เพราะว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและทานง่าย เมื่อเทียบกับข้าวสวยทั่วไปแล้ว คุณสามารถพกพาข้าวเหนียวในปริมาณที่น้อยลงได้โดยที่ให้พลังงานและความอิ่มได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นข้าวเหนียวจึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการพกพาเลยค่ะ แถมคุณสมบัติเด่นอย่างการจับตัวเป็นก้อนยังทำให้สามารถพกพาออกไปทานนอกบ้านได้สะดวก ยิ่งอาหารอีสานมักจะประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์และพืชผักพื้นบ้านที่สามารถหาได้ทั่วไป ยิ่งทำให้การทานอาหารง่ายและรวดเร็วมากขึ้น เพียงแค่หุงข้าวเหนียวใส่กระติ๊บแล้วพาดบ่าเดินออกจากบ้าน หิวเมื่อไหร่ก็เปิดออกมาทานได้รวดเร็วทันใจ ไม่ต้องพกพาจานชามให้วุ่นวาย แถมข้าวเหนียวที่เหลือยังนำมาตากแห้งแล้วนำไปทอดกรอบกลายมาเป็นของทานเล่นได้อีก
ซึ่งในปัจจุบันนั้นอาหารเหนือและอาหารอีสานเริ่มแพร่หลายไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ “ส้มตำ” ที่เรียกว่าเป็นเมนูกระชับมิตร ไม่ว่าจะเป็นเหนือ – ใต้ – ออก – ตก ก็สามารถหาซื้อส้มตำรสแซ่บได้แทบจะทุกตรอกซอกซอย ในเมื่อส้มตำกลายมาเป็นเมนูขวัญใจคนทุกเพศทุกวัยแล้วข้าวเหนียวที่เป็นของคู่กันก็เป็นที่นิยมขึ้นมาพร้อม ๆ กัน จากที่เคยทานแต่ข้าวสวยราดกับข้าว หลายคนก็เริ่มทานข้าวเหนียวอย่างจริงจังจนถึงขั้นมีหวดนึ่งข้าวเหนียวติดบ้านกันเลยทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าข้าวเหนียวจะต้องทานคู่กับส้มตำเท่านั้นนะคะ เพราะข้าวเหนียวยังสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบเมนูอาหารได้ทั้งอาหารคาว – หวานอีกมากมายหลายชนิด วันนี้เราเลยรวบรวมสูตรเมนูข้าวเหนียวมาแบ่งปันเพื่อน ๆ กันค่ะ
ทำไมต้องเป็น “ข้าวเหนียวเขี้ยวงู”
เป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าจะทำขนมหวานโดยเฉพาะข้าวเหนียวมูนให้อร่อยต้องใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูเท่านั้น แต่เคยมีใครสงสัยกันบ้างไหมคะว่าทำไมต้องเฉพาะเจาะจงไปที่ข้าวเหนียวเขี้ยวงู นั่นก็เพราะข้าวเหนียวสายพันธุ์นี้มีความพิเศษอยู่ที่ลักษณะของเมล็ดเรียวยาว สีขาวขุ่น เมื่อหุงสุกแล้วเมล็ดข้าวจะนุ่มและเกาะตัวกันได้ดี ไม่เละ นุ่มสวยตลอดทั้งวัน แช่เย็นแล้วนำมาอุ่นใหม่ก็ยังนุ่มสวย สีไม่คล้ำเมล็ดข้าวสีใสและขึ้นเงาสวยงามค่ะ ซึ่งข้าวเหนียวเขี้ยวงูสายพันธุ์ออริจินัลนั้นล้วนแล้วแต่มาจากแหล่งปลูกในจังหวัดเชียงราย เนื่องจากภูมิประเทศของที่นี่เหมาะกับการปลูกข้าวเหนียว มีแหล่งน้ำธรรมดาและแหล่งน้ำพุ รวมถึงจังหวัดเชียงรายยังเป็นพื้นที่ที่ปลูกข้าวเหนียวกันมาอย่างช้านานนั่นเองค่ะ
นอกจากนี้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูยังแบ่งออกเป็นข้าวเก่ากับข้าวใหม่อีกด้วยนะคะ เอาจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นข้าวสารธรรมดา ๆ หรือข้าวเหนียวก็จะมีการแบ่งออกเป็นข้าวเก่าและข้าวใหม่อยู่แล้วค่ะ ข้าวใหม่ก็คือข้าวที่ปลูกแล้วก็เพิ่งเก็บเกี่ยวใหม่ ๆ ค่ะ แต่ถ้ามีการปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวครั้งต่อไปเมื่อไหร่ ข้าวที่เก็บไว้ก่อนหน้านั้นก็จะกลายเป็นข้าวเก่าทันที เพราะมีข้าวใหม่ถือกำเนิดมาแทนที่แล้วนั่นเอง ซึ่งในการทำข้าวเหนียวมูนหรือเมนูที่จะต้องผ่านการแช่น้ำ ผ่านการดูดซึมต่าง ๆ นานามักจะนิยมใช้ข้าวเก่ากันค่ะ เนื่องจากข้าวเก่าโดยเฉพาะข้าวเหนียวเขี้ยวงูจะสามารถดูดน้ำได้ในปริมาณที่เยอะกว่าข้าวใหม่ อาจจะเป็นเพราะความชื้นที่มีน้อยกว่าหรือเก็บเกี่ยวเอาไว้นานกว่า ซึ่งหลังจากดูดซึมน้ำเข้าไปเต็มที่แล้วเมล็ดข้าวจะฟูนุ่มและมีกลิ่นหอมค่ะ ส่วนข้าวใหม่ที่ยังมีความชื้นในเมล็ดข้าวเยอะจะหุงไม่ค่อยขึ้นหม้อหรือดูดซึมน้ำเข้าไปได้ไม่ดีสักเท่าไหร่
วิธีนึ่งข้าวเหนียวให้นุ่มนาน
ในการนึ่งข้าวเหนียวไม่ใช่แค่ล้างข้าวแล้วนำไปตั้งบนเตารอเวลาให้สุกนะคะ การนึ่งข้าวเหนียวเป็นอีกหนึ่งกระบวนการปรุงอาหารที่ต้องใช้ความพิถีพิถันสักเล็กน้อย แล้วยิ่งข้าวเหนียวมีลักษณะที่ค่อนข้างจะเหนียวหนึบหนับ ดังนั้นการหุงข้าวไม่ดีหรือหุงออกมาไม่พอดีคุณอาจจะได้ทานข้าวแห้งแข็งหรือข้าวแฉะติดไม้ติดมือเลอะเทอะมาแทนข้าวหอมนุ่มอย่างที่ฝันแน่นอนค่ะ ซึ่งขั้นตอนการหุงข้าวเหนียวให้ออกมาสวย มีกลิ่นหอม และสัมผัสนุ่มนวลตลอดทั้งวันนั้นมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ
- ขั้นตอนแรกเราจะต้องนำข้าวเหนียวมาล้างทำความสะอาดจนน้ำซาวข้าวใสกิ๊ง น้ำสีขุ่นที่เห็นคือยางข้าวค่ะ ยิ่งล้างยางข้าวออกไปได้มากเท่าไหร่ข้าวก็จะเหนียวติดกันน้อยลงเท่านั้น จากนั้นแช่ข้าวเหนียวประมาณ 4 – 5 ชั่วโมงหรือแช่ทิ้งไว้หนึ่งคืนเลย
- แช่ข้าวครบเวลาแล้วเราจะมาล้างข้าวอีก 1 – 2 รอบค่ะ เพราะข้าวที่แช่ทิ้งไว้นาน ๆ จะมีกลิ่นเปรี้ยว ซึ่งกลิ่นเปรี้ยวเหล่านี้จะทำให้ข้าวบูดง่ายค่ะ จากนั้นเทข้าวใส่หวดไม้ไผ่รอไว้ค่ะ หรือถ้าใครไม่มีหวดจะใช้ถ้าขาวบางเปียกหมาดรองลงชั้นนึ่งแล้วเทข้าวลงไปก็ได้ค่ะ ตลบผ้าคลุมข้าวด้วยนะคะ จากนั้นวางข้าวลงบนหม้อที่ต้มน้ำจนเดือดปุด ๆ ปิดฝาแล้วนึ่งข้าวประมาณ 20 – 30 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณข้าว จะใส่ใบเตยลงในน้ำเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมก็ได้ค่ะ
- นึ่งจนข้าวสุกใสดีแล้วเราก็จะกลับข้าวเอาด้านบนลงไปโดนความร้อนบ้าง วิธีนี้จะทำให้ข้าวสุกเสมอกัน จากนั้นพรมน้ำใส่ข้าวที่อยู่ด้านบนจนชุ่มเพื่อช่วยให้ข้าวไม่แข็ง ใช้ทัพพีหรือไม่พาบเกลี่ยข้าวให้กระจายตัวเล็กน้อย ความร้อนจะได้ระอุออกมาง่ายขึ้น ปิดฝานึ่งต่ออีก 10 – 20 นาทีค่ะ
- ข้าวสุกเสมอกันดีแล้วยกข้าวเทใส่ถาดหรือภาชนะที่ทำจากไม้ไผ่เพราะไม้ไผ่จะดูดซํบความร้อนได้ดีกว่า จากนั้นใช้ไม้พายเกลี่ยข้าวให้กระจายตัวออกจากกันเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากข้าว พักข้าวไว้จนหมดควันแล้วจึงเก็บข้าวใส่ภาชนะแล้วนำไปรับประทานได้ค่ะ
สูตรเมนูอาหารจากข้าวเหนียว
1. บ๊ะจ่าง
เริ่มกันที่อาหารจีนอร่อย ๆ กันดีกว่า บ๊ะจ่างนี่ถือว่าเป็นเมนูโบราณที่อร่อยและเต็มไปด้วยสารอาหารแน่น ๆ นำมาห่อใบไผ่ดูสวยงามและได้กลิ่นอายของความเป็นอาหารโบราณสุด ๆ แต่อยากทานบ๊ะจ่างแต่ละทีต้องออกตามหากันให้วุ่นเพราะมีขายกันน้อยเหลือเกิน บางครั้งห่อเล็ก ๆ มีไส้ไม่กี่อย่างแต่ราคากลับสูงจนใจหาย ในเมื่อสู้ราคาไม่ไหวเรามาทำทานเองเลยแล้วกัน วัตถุดิบเครื่องเคราอาจจะอลังการไปหน่อยแต่ขอบอกว่าทำออกมาแล้วอร่อยหายเหนื่อยแน่นอน เพราะบ๊ะจ่างของเราจะมีกลิ่นหอมชวนหิว ข้าวเหนียวนุ่ม ๆ เข้ากับเนื้อหมูและธัญพืชรสหวานอ่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี เพิ่มความอร่อยด้วยไข่เค็มกลมกล่อม บอกเลยว่าห่อเดียวมีจุกแน่นอน
วัตถุดิบบ๊ะจ่าง
- หมูสันใน
- ข้าวเหนียว
- ถั่วลิสง
- แปะก๊วย
- ไช้โป๊ว
- กุนเชียง
- กุ้งแห้ง
- เห็ดหอมแห้ง
- ไข่แดงไข่เค็ม
- เกลือ
- พริกไทยป่น
- น้ำตาล
- ผงพะโล้
- ซอสปรุงรส
- น้ำมันพืช
วิธีทำบ๊ะจ่าง
ล้างทำความสะอาดส่วนผสมทั้งหมดก่อนค่ะ จากนั้นแช่กุ้งแห้ง, เห็ดหอม และถั่วลิสงเตรียมไว้ หันมาต้มแปะก๊วย 1 ครั้ง เทน้ำออกแล้วต้มอีกหนึ่งครั้งจนเมล็ดแปะก๊วยเริ่มแตก ใส่น้ำตาลลงไปพอประมาณเพื่อให้แปะก๊วยมีรสชาติหวานนิด ๆ จากนั้นหันมาหั่นหมูเป็นชิ้นขนาดตามชอบ หมักด้วยน้ำตาล, เกลือ และพริกไทย พักไว้ 1 – 2 ชั่วโมง ระหว่างรอนำถั่วที่แช่ไว้มาต้มจนสุก ใส่เกลือและน้ำตาลเล็กน้อยให้พอมีรสชาติ เสร็จแล้วนึ่งไข่แดงจนสุกตามด้วยนึ่งข้าวเหนียวจนสุก
หันมาหั่นกุนเชียงและเห็ดหอม ตามด้วยสับไช้โป๊วให้ละเอียด ตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง ใส่น้ำมันแล้วทอดกุนเชียงจนสุก ตักขึ้นพักไว้ตามด้วยทอดหมูจนสุกเช่นกัน ใช้กระทะใบเดิม เทน้ำมันออกเล็กน้อย นำไช้โป๊วลงไปผัดจนหอมตามด้วยเห็ดหอม ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสง ใส่น้ำเปล่าลงไปเล็กน้อย ปรุงรสด้วยผงพะโล้, น้ำตาล, เกลือ, พริกไทย และซอสปรุงรส ผัดจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน จากนั้นนำข้าวเหนียวใส่ลงไป ผัด ๆ ยี ๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเนียนเข้ากันและข้าวเหนียวไม่เกาะเป็นก้อน เน้นยีนะคะไม่ใช้ตะหลิวตัดข้าวเหนียว หลังจากนั้นชิมรสชาติตามชอบแล้วตักใส่ภาชนะ
ได้ข้าวมาแล้วเรามาห่อต่อเลยค่ะ หยิบใบไผ่ขึ้นมา ใบไผ่จะต้องนำไปต้มก่อนนะคะไม่งั้นใบจะกรอบแตก จากนั้นวางใบไผ่เอาด้านหลังประกบกัน พับใบไผ่เป็นกรวย ใส่ข้าวรองก้นลงไปเล็กน้อย จากนั้นใส่ไส้ เริ่มจากไข่แดง, เห็ดหอม, แปะก๊วย, กุ้งแห้ง, กุนเชียง และหมู วางเรียงลงไปเลยค่ะ จากนั้นปิดหน้าด้วยข้าวอีกหนึ่งครั้งแล้วพับห่อใบไผ่จนได้เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม มัดด้วยเชือกให้แน่นแล้วนำไปนึ่งอีกประมาณ 30 – 40 นาที นำออกมาเสิร์ฟตอนร้อน ๆ หรือถ้าใครไม่ถนัดห่อใบไผ่จะนำมาใส่ถ้วยแทนได้ค่ะ
2. เบอร์เกอร์ลาบหมู
มาต่อกันที่อาหารฟิวส์ชั่นระหว่างเบอร์เกอร์สไตล์ฝรั่งและความเป็นไทยค่ะ แต่เบอร์เกอร์ของเราขอบอกว่าพิเศษกว่าใครเพราะเราจะเปลี่ยนจากขนมปังมาเป็นข้าวเหนียวบ้านเรา นำมาประกบตัวเบอร์เกอร์ที่ทำมาจากเนื้อหมูปรุงรสชาติลาบจัดจ้านถึงใจ เราจะนำเนื้อหมูมาย่างจนกรอบนอกนุ่มใน กัดลงไปเจอเนื้อฉ่ำ ๆ กลิ่นพริก, มะนาว, ข้าวคั่ว และผักชีฝรั่งหอมฟุ้งขึ้นมาอบอวลอยู่ภายในปาก คำแรกจะสัมผัสได้ถึงความจัดจ้านร้อนแรง ต่อมาจะได้ความแน่นหนึบของข้าวเหนียวมาตัดรส เคี้ยวไปเรื่อย ๆ ก็จะมีรสหวานแทรกขึ้นมา ยิ่งได้ซอสแจ่วอีกนิดขอบอกว่าอร่อยครบรส
วัตถุดิบเบอร์เกอร์ลาบหมู
- หมูสับ
- ข้าวเหนียว
- ผักชีฝรั่ง
- หอมแดง
- ข้าวคั่ว
- พริกป่น
- น้ำตาล
- น้ำปลา
- น้ำมะนาว
- น้ำมันพืช
วิธีทำเบอร์เกอร์ลาบหมู
ขั้นตอนแรกต้องหุงข้าวเหนียวให้สุกนุ่มก่อนค่ะ ระหว่างรอหันมาทำส่วนของลาบหมูต่อเลยค่ะ วิธีการทำง่ายมาก ๆ เราจะนำเนื้อหมูใส่ภาชนะก่อนเลยค่ะ จากนั้นซอยหอมแดงบาง ๆ ใส่ลงไป ตามด้วยผักชีฝรั่งเพิ่มกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยข้าวคั่ว, พริกป่น, น้ำตาล, น้ำปลา และน้ำมะนาว คลุกเคล้าให้เข้ากันเลยค่ะ ใช้มือนวดไปเรื่อย ๆ จนเครื่องปรุงเข้าเนื้อและเนื้อหมูจะเหนียวขึ้นค่ะ จากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดตามต้องการได้เลย
ตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง ใส่น้ำมันเล็กน้อยให้พอเคลือบหน้ากระทะ กระทะร้อนได้ที่แล้วเราจะวางหมูลงไปเลยค่ะ จากนั้นทาน้ำมันที่ตะหลิวเล็กน้อยแล้วกดเนื้อหมูที่เป็นก้อนกลม ๆ ให้แบน ความหนาตามชอบเลยค่ะ กดค้างไว้ประมาณ 1 นาทีแล้วทอดต่อจนหมูกรอบตามชอบ หลังจากแน่ใจว่าหมูสุกดีแล้วเราจะพลิกกลับด้านแล้วทอดต่อ หลังจากทอดจนแน่ใจว่าสุกดีแล้วเราจะลองเอาตะหลิวกดเนื้อหมูค่ะ ถ้าน้ำที่ไหลออกมาเป็นสีใส ๆ แปลว่าสุกแล้ว แต่ถ้ายังมีสีแดงแปลว่าด้านในไม่สุกนะจ๊ะ ปิดฝาทอดต่อไปเรื่อย ๆ จ้า สุกได้ที่แล้วตักออกมาพักไว้
หันมาที่ข้าวเหนียวกันบ้าง ข้าวเหนียวสุกได้ที่แล้วนำออกมาเกลี่ยให้ควันระบายออกมาจนหมด จากนั้นหาพิมพ์วงกลมขนาดพอ ๆ กับหมูมาค่ะ (ใช้เป็นพิมพ์ทอดไข่ดาวมาช่วยก็ได้ค่ะ) กรุข้าวเหนียวลงในพิมพ์แล้วกดให้แน่น ทิ้งไว้สักพักให้พออุ่น ๆ และเซตตัวดีแล้วนำออกจากพิมพ์ วางหมูลงไปแล้วนำข้าวเหนียวอีกแผ่นมาประกบ อาจจะราดด้วยซอสหรือเพิ่มความสวยงามด้วยผักระหว่างชั้น จากนั้นจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ
3. เค้กคอหมูย่าง
วันเกิดคนสำคัญใกล้จะมาถึงแล้วต้องซื้อเค้กรอเซอร์ไพรส์สักหน่อย แต่เอ๊ะ! เจ้าของวันเกิดกำลังงดของหวานทำยังไงดี? งั้นเราก็เปลี่ยนจากเค้กครีมมัน ๆ มาเป็นเค้กหมูย่างแซ่บ ๆ แทนสิ เราจะเริ่มจากหมักหมูให้อร่อยเข้าเนื้อ นำไปย่างจนหอมกรุ่น กรอบนอกนุ่มใน จากนั้นพักเนื้อให้ด้านในจุ๊ยซี่ฉ่ำ ๆ ก่อนแล่ให้เป็นชิ้นบางสวยและประกอบร่าง หันมาทำน้ำจิ่มแจ่วแซ่บซี๊ดพร้อมเสิร์ฟ รับรองว่าถูกใจทั้งคนให้และคนรับแน่นอนค่ะ แต่กลิ่นหอมยั่วใจขนาดนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะถึงเจ้าของวันเกิดหรือเปล่า
วัตถุดิบเค้กคอหมูย่าง
- ข้าวเหนียวหุงสุก
- สันคอหมู
- กระเทียม
- พริกไทยขาวเม็ด
- น้ำตาล
- น้ำปลา
- ซอสหอยนางรม
- ซอสปรุงรส
วัตถุดิบน้ำจิ้มแจ่ว
- หอมแดง
- ผักชีฝรั่ง
- ต้นหอม
- ข้าวคั่ว
- พริกป่น
- น้ำมะขามเปียก
- น้ำมะนาว
- น้ำปลา
วิธีทำเค้กคอหมูย่าง
ล้างทำความสะอาดเนื้อหมูก่อนเลยค่ะ ถ้าหมูชิ้นใหญ่เกินไปก็นำมาหั่นให้มีขนาดกำลังพอดีกับเตา นำส้อมมาจิ้มเนื้อหมูให้ทั่วเครื่องหมักจะได้เข้าเนื้อ จากนั้นโขลกกระเทียมและพริกไทยให้เข้ากัน เสร็จแล้วเราจะหมักหมูด้วยกระเทียม, พริกไทย, น้ำตาล, น้ำปลา, ซอสหอยนางรม และซีอิ๊วขาว คลุกเคล้าและนวดจนเครื่องปรุงทั้งหมดซึมเข้าเนื้อเลยค่ะ หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นประมาณหนึ่งชั่วโมง
ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วจัดการจุดเตาถ่านหรือเตรียมเตาย่างไฟฟ้าหรือจะใช้เป็นเตาถ่านปิ้งย่างก็ได้เลยค่ะ ถ้าเป็นเตาถ่านแนะนำให้เอาขี้เถ้าคลุมก้อนถ่านด้วยนะคะ ตอนมันหมูหยดไฟจะไม่ลุกไหม้เนื้อหมูจนสีไม่สวย จากนั้นจัดการย่างไฟอ่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ คอยสังเกตถ้าน้ำมันเริ่มหยดแล้วให้พลิกหมูทันที ระวังมือด้วยนะคะแนะนำให้ใช้ที่คีบอาหารร่วมด้วยจะดีที่สุด ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมูสุกเกรียมตามชอบเลย นำหมูออกมาพักไว้ก่อน
ระหว่างพักหมูเราจะมาทำน้ำจิ้มแจ่วรอค่ะ เริ่มจากซอยต้นหอม, ผักชีฝรั่ง และหอมแดงรอไว้ จากนั้นผสมน้ำตาล, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียก และน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน จากนั้นเติมพริกป่น, ข้าวคั่ว ,หอมแดง, ต้นหอม และผักชีฝรั่ง คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วชิมรสชาติตามชอบเลย เสร็จแล้วก็มาหั่นหมูเป็นชิ้นบาง ๆ ตอนหั่นเอียงมีดเล็กน้อยหมูจะได้ออกมาสวยงาม
มาถึงขั้นตอนประกอบร่างแล้ว หาแผ่นพลาสติกมากรุพิมพ์ด้านในไว้ป้องกันข้าวติดพิมพ์ จากนั้นตักข้าวเหนียววางลงไปเป็นฐานและเกลี่ยให้เสมอกัน ไม่ต้องใส่ข้าวเหนียวเยอะมากก็ได้ค่ะ จากนั้นนำคอหมูย่างที่หั่นเรียบร้อยแล้ววางเรียงไปให้สวยงาม ปิดทับด้วยข้าวเหนียวอีกหนึ่งชั้น ปิดหน้าด้วยคอหมูย่างหอม ๆ วางเรียงลงไปให้สวยงาม เทข้าวคั่วใส่ตะแกรงแล้วร่อนข้าวคั่วลงไปด้านบนบาง ๆ ประหนึ่งน้ำตาลไอซิ่ง เพิ่มสีสันด้วยผักชีอีกนิดแค่นี้เค้กสุดเก๋ของเราก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วได้เลย
4. ตูปะซูตง (หมึกต้มหวาน)
ถัดมาเป็นเมนูจากปลาหมึกของหวานที่ไม่น่าจะใช่ของหวาน ตูปะซูตงเป็นเมนูของหวานพื้นบ้านของชาวบ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่ะ คำว่า “ตูปะ” แปลว่าข้าวเหนียว ส่วน “ซูตง” แปลว่าปลาหมึก นำมารวมกันคือหมึกยัดไส้ข้าวเหนียวค่ะ เมนูนี้เป็นการเอาหมึกมาทำเป็นของหวาน หน้าตาก็จะคล้าย ๆ กับหมึกต้มหวานเลยค่ะ ตัวหมึกจะอวบ ๆ อ้วน ๆ เพราะข้าวเหนียวที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง ปลาหมึกจะเนื้อนุ่ม หวานธรรมชาติ ไส้ข้าวเหนียวด้านในรสชาติเค็มอ่อน ๆ เข้ากับน้ำซอสหวาน ๆ ที่เคลือบอยู่ด้านนอก เป็นของหวานพื้นบ้านที่แปลกและน่าลองมาก ๆ ค่ะ
วัตถุดิบตูปะซูตง
- ปลาหมึกสด
- ข้าวเหนียว
- ตะไคร้
- ใบเตย
- เกลือ
- น้ำตาลมะพร้าว
- กะทิ
วิธีทำตูปะซูตง
ขั้นตอนแรกเราจะล้างทำความสะอาดปลาหมึกก่อนค่ะ เอาไส้และหมึกดำออกให้หมดก่อน ส่วนหมึกต้องสดจริง ๆ นะคะ แล้วก็ควรใช้หมึกขนาดกลาง ๆ หน่อยค่ะ จากนั้นหันมาล้างทำความสะอาดข้าวเหนียวก่อนค่ะ ล้างจนน้ำใสเลยนะคะจากนั้นแช่ทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงเลยค่ะ
แช่ข้าวเหนียวครบแล้วเราจะเทน้ำออกจนหมด จากนั้นเทกะทิใส่ลงไปให้พอดีกับข้าวเหนียว ใส่เกลือเพิ่มรสชาตินิดหน่อย คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้อีกประมาณ 5 นาทีค่ะ ครบแล้วนำข้าวเหนียวมาใส่ลงในตัวปลาหมึกค่ะ ใส่แค่ประมาณ ⅓ ของตัวหมึกก็พอนะคะ เพราะตอนข้าวเหนียวสุกแล้วจะพองตัวขึ้นมาอีก จากนั้นยัดหัวปลาหมึกลงไปแล้วใช้ไม้จิ้มฟันกลัดยึดหัวกับตัวให้ติดกันค่ะ
เตรียมหมึกเสร็จแล้วจากนั้นนำหมึกใส่หม้อเลยค่ะ จากนั้นใส่กะทิลงไปจนพอท่วมหมึก ดับกลิ่นด้วยตะไคร้ เพิ่มกลิ่นหอมด้วยใบเตย จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำตาลมะพร้าว ใส่เกลือตัดรสอีกหน่อย จากนั้นเปิดเตาไฟกลางค่อนอ่อนแล้วต้มไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ รอจนน้ำเดือดแล้วตักเอาตะไคร้ออก จากนั้นต้มจนน้ำงวดและสีเข้มขึ้น หลังจากน้ำงวดจนเหนียวข้นเคลือบตัวหมึกแล้วลองชิมรสชาติดูค่ะ ถ้ามีรสชาติหวานตามชอบแล้วปิดเตาและตักเสิร์ฟได้เลยค่ะ
5. ข้าวเหนียวมะม่วง
ต่อมาเป็นเมนูยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ยิ่งเป็นช่วงหน้าร้อนที่มะม่วงออกผลสุกเหลืองสวยงามจะยิ่งทำให้เมนูข้าวเหนียวมะม่วงได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก เราจะนำมะม่วงมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนอุ่น ๆ อาหารไทยโบราณเมนูนี้จะมีรสชาติหวานนุ่มของข้าวเหนียวมูน เพิ่มรสเค็มนิด ๆ ของกะทิราดหน้าที่มาพร้อมกับถั่วทองกรุบกรอบซึ่งเข้ากันดีกับมะม่วงรสหวานเย็น ยิ่งได้ทานตอนอากาศร้อน ๆ บอกเลยว่าอร่อยเย็นชื่นใจโดยไม่ต้องพึ่งพัดลมเลยล่ะค่ะ
วัตถุดิบข้าวเหนียวมะม่วง
- มะม่วงสุก
- ข้าวเหนียว
- ถั่วเหลืองทอด (ถั่วทอง)
- ใบเตย
- แป้งมัน
- เกลือ
- น้ำตาลทราย
- กะทิ
- น้ำเปล่า
- น้ำมันพืช
- สารส้ม
วิธีทำข้าวเหนียวมะม่วง
ก่อนอื่นนำข้าวเหนียวมาล้างน้ำก่อนสักหนึ่งรอบ จากนั้นนำข้าวเหนียวมาถูกับสารส้มให้ทั่วเพื่อล้างเอายางข้าวออกแล้วแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ครบเวลาแล้วล้างออกให้หมดจนน้ำใสแล้วแช่ข้าวเหนียวทิ้งไว้หนึ่งคืนเลยค่ะ จากนั้นตั้งหม้อนึ่ง บุผ้าขาวบางลงไปบนภาชนะที่จะใช้นึ่ง แนะนำให้ใช้เป็นตะแกรงหรือภาชนะทนความร้อนที่มีรูเยอะ ๆ นะคะ บุผ้าขาวบางแล้วเทข้าวเหนียวลงไปพอประมาณ มัดใบเตยใส่ลงไปแล้วเทที่เหลือทับลงไปอีกหนึ่งชั้น เกลี่ยให้เสมอและทำรูตรงกลาง จากนั้นตลบผ้าขาวบางลงมาคลุกให้มิด นำขึ้นตั้งบนหม้อที่มีน้ำเดือดแล้วปิดผานึ่ง 10 นาที ครบเวลาแล้วพลิกกลับข้าวเหนียว นึ่งต่ออีก 10 นาที
ระหว่างรอข้าวเหนียวเรามาทำน้ำกะทิรอค่ะ ผสมกะทิและน้ำในปริมาณเท่า ๆ กันลงในหม้อ ปรุงรสชาติด้วยน้ำตาลและใส่เกลือตัดรส สามารถใส่น้ำตาลได้ตามระดับความหวานที่ชอบเลยค่ะ จากนั้นใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อยแล้วนำขึ้นตั้งบนเตา เปิดไฟกลางค่อนอ่อนแล้วคนไปเรื่อยให้น้ำตาลละลายดี แต่ระวังไม่ให้น้ำกะทิเดือดนะคะ ถ้าเดือดจนแตกมันจะนำมาทำขนมไม่ได้ เสร็จแล้วนำลงมาพักไว้ก่อน เมื่อครบ 10 นาทีแล้วนำข้าวเหนียวออกมาเทใส่ภาชนะอีกหนึ่งใบ นำน้ำกะทิร้อน ๆ ที่ทำไว้ก่อนหน้าเทตามลงไปแล้วคนผสมให้เข้ากันเลยค่ะ ข้าวเหนียวและน้ำกะทิต้องร้อนนะคะ หลังจากคนจนเข้ากันดีแล้วปิดฝาทิ้งไว้ให้ข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิ คอยเปิดออกมาคนเป็นระยะด้วยนะคะจะได้นุ่มเท่า ๆ กัน
ระหว่างรอข้าวเหนียวและกะทิซึมเข้ากันเราหันมาทำกะทิราดหน้าอีกหน่อย เริ่มจากการนำหัวกะทิขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่น้ำตาลทรายนิดหน่อย เติมเกลือลงไปพอให้เค็มปะแล่ม ๆ ใส่แป้งมันให้มีเนื้อหนืดอีกนิด คนจนน้ำตาลละลายดีและกะทิอุ่นร้อนแล้วยกลงได้เลยค่ะ หันมาปอกมะม่วงเรียงใส่จานให้สวยงาม ตักข้าวเหนียวมูนวางลงไปข้าง ๆ ราดหน้าด้วยน้ำกะทิและโรยถั่วทองลงไปปิดท้าย พร้อมเสิร์ฟ
6. ข้าวเหนียวทุเรียน
ข้าวเหนียวมะม่วงผ่านไปแล้วมาต่อด้วยข้าวเหนียวทุเรียนจุก ๆ กันต่อเลย เมนูนี้เอาใจทุเรียนเลิฟเวอร์กันสักหน่อย เราจะเริ่มจากการคัดเลือกทุเรียนสายพันธุ์ดีเนื้อหวานละมุน นำมาปอกเปลือกแกะเมล็ดออกเตรียมให้พร้อม จากนั้นมูนข้าวเหนียวให้มีรสชาติหวานนิด ๆ มันหน่อย ๆ เสร็จแล้วหันไปทำน้ำกะทิทุเรียนกันต่อ ขอบอกว่าน้ำกะทิที่แหละตัวทอปเพราะได้กลิ่นทุเรียนเน้น ๆ รสชาติหวานหอมจากทุเรียนได้แทรกซึมอยู่ทุกตารางมิลลิเมตร ตักน้ำกะทิอุ่น ๆ ราดลงบนข้าวเหนียวมูนเมล็ดอวบสวย บอกเลยว่าฟินจนแทบหลั่งน้ำตา
วัตถุดิบข้าวเหนียวทุเรียน
- เนื้อทุเรียนสุกนิ่ม
- ข้าวเหนียว
- ใบเตย
- น้ำตาลมะพร้าว
- เกลือ
- กะทิ
- น้ำมันพืช
วิธีทำข้าวเหนียวทุเรียน
ขั้นตอนแรกทำข้าวเหนียวมูนก่อน เริ่มจากล้างข้าวเหนียวให้สะอาด แช่น้ำข้ามคืนแล้วนำมาหุงค่ะ ระหว่างรอข้าวเหนียวสุกจะหันมาทำน้ำกะทิมูนต่อเลยค่ะ ตั้งหม้อ ใส่น้ำกะทิลงไปตามด้วยน้ำเปล่าเท่า ๆ กัน ใส่น้ำตาลนิดหน่อย เกลือนิดนึง ใส่ใบเตยเพิ่มกลิ่นหอม น้ำมันพืชอีกนิด นำขึ้นตั้งไฟแล้วคนจนน้ำตาลละลายดีและน้ำกะทิร้อน หลังจากนั้นนำข้าวเหนียวมามูนกับน้ำกะทิจนเข้ากัน พักไว้ก่อนค่ะ
ต่อมาเป็นน้ำกะทิทุเรียนบ้าง เริ่มจากนำกะทิใส่หม้อเลยค่ะ จากนั้นใส่น้ำตาล, ใบเตย และเกลือเล็กน้อยลงไป กะปริมาณความหวานเผื่อรสหวานของทุเรียนด้วยนะคะ จากนั้นเปิดไฟกลางค่อนอ่อนแล้วคนไปเรื่อย ๆ ให้น้ำตาลละลาย ระวังไม่ให้กะทิเดือดนะคะ คนไปเรื่อย ๆ จนร้อนได้ที่แล้วนำเนื้อทุกเรียนใส่ลงไปเลยค่ะ ถ้าอยากให้เนื้อทุเรียนเละหน่อยก็ใช้ทัพพีบี้เนื้อได้เลยค่ะ คนจนกะทิกลับมาร้อนอีกครั้งแล้วชิมรสชาติตามชอบ เสร็จแล้วปิดเตาแล้วตักน้ำกะทิราดลงบนข้าวเหนียวมูน พร้อมทานจ้า
7. ข้าวต้มมัด
เปลี่ยนมาทำข้าวต้มมัดบ้างดีกว่า เมนูไทยโบราณที่ขอบอกเลยว่าอร่อยและวิธีการทำก็สนุกมาก ๆ เราจะเริ่มจากทำถั่วและข้าวเหนียวให้สุก จากนั้นเตรียมกล้วย สุดท้ายนำมาห่อด้วยใบตองให้สวยงามแล้วนำไปนึ่งจนสุก หลังจากเปิดฝาออกมาเพื่อน ๆ จะได้กลิ่นหอมใบตองชวนรับประทาน ข้าวต้มมัดชิ้นโต เนื้อแน่น อัดแน่นไปด้วยกล้วยและถั่วไม่เน้นข้าวเหนียว กัดลงไปคำแรกจะหอมกะทิและมีรสหวานปนเค็ม จากนั้นรสชาติหวานอมเปรี้ยวของกล้วยจะออกมาทักทายซึ่งเข้ากันดีกับข้าวเหนียวและถั่ว ได้กลิ่นหอมมันของกะทิและกลิ่นกล้วยคละคลุ้งอยู่ในปาก แค่ชิ้นเดียวก็อิ่มจนพุงกางจนแทบจะไม่ต้องทานข้าวแล้ว
วัตถุดิบข้าวต้มมัด
- กล้วยน้ำว้าสุก
- ข้าวเหนียว
- ถั่วดำ
- น้ำตาล
- เกลือ
- กะทิ
วิธีทำข้าวต้มมัด
ขั้นตอนแรกเราจะนำข้าวเหนียว, ถั่วดำ และตอกมาล้างทำความสะอาดจนน้ำใส จากนั้นแช่น้ำไว้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงค่ะ ระหว่างรอเราก็นำใบตองมาตากแดดจัด ๆ ทิ้งไว้เลยค่ะ ครบ 4 ชั่วโมงใบตองจะนุ่มเหนียวและข้าวเหนียวและถั่วจะนุ่มพอดี
แช่ถั่วจนครบเวลาแล้วเราจะตั้งหม้อ ใส่น้ำ เปิดไฟกลาง ๆ แล้วนำถั่วลงต้มเลยค่ะ ต้มทิ้งไว้จนถั่วสุกนุ่มเลยนะคะ ระหว่างต้มถั่วเราจะหันมาผัดข้าวเหนียวกัน เริ่มจากตั้งกระทะ เปิดไฟกลาง จากนั้นเทหัวกะทิลงไปเลย ใส่เกลือเพิ่มรสชาติพอประมาณ ต้มทิ้งไว้จนน้ำกะทิเดือด แต่ไม่ถึงกับแตกมันนะคะ น้ำเดือดปุ๊บใส่ข้าวเหนียวลงไปปั๊บแล้วก็ปรับเตาเป็นไฟกลางค่อนอ่อน จากนั้นผัดข้าวเหนียวกับน้ำกะทิไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ พยายามขูดก้นกระทะด้วยนะคะเดี๋ยวข้าวเหนียวจะไหม้ติดก้นหม้อ ผัดจนน้ำกะทิแห้งดีและข้าวเหนียวใสขึ้นเลยค่ะ ไม่ต้องถึงกับสุกก็ได้ หลังจากแห้งดีแล้วปิดเตา ใส่น้ำตาลตามชอบแล้วคนจนน้ำตาลละลายและข้าวเหนียวหายร้อนเลย จากนั้นเทน้ำที่ต้มถั่วออกแล้วพักให้สะเด็ดน้ำเลยค่ะ
ถั่วและข้าวเหนียวเสร็จเรียบร้อยแล้วเราจะมาเตรียมกล้วย เตรียมใบตอง แล้วก็ห่อกันเลยค่ะ เริ่มจากนำใบตองมาตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัดส่วนที่ติดกับก้านแข็ง ๆ ออก จากนั้นเช็ดใบตองให้สะอาดค่ะ ต่อมาก็ปอกเปลือกกล้วยแล้วหั่นครึ่งตามแนวยาวหรือจะหั่นเฉียง ๆ ก็ได้ค่ะ เลือกได้ตามชอบเลย เสร็จแล้วหยิบใบตองออกมา 2 ใบ เอาด้านหลังใบตองที่เป็นสีอ่อนมาประกบกัน วางให้ลายตัดกันด้วยนะคะเวลาห่อจะไม่แตก จากนั้นตักถั่วดำใส่ลงไปตรงกลาง ตามด้วยข้าวเหนียว เกลี่ยข้าวเหนียวให้แบน ๆ แล้ววางกล้วยลงไป ปิดด้วยข้าวเหนียวอีกชั้นแล้วตามด้วยถั่วดำ จากนั้นจับปลายใบตองทั้งสองข้างมาห่อประกบกัน แล้วพับเข้าหาไส้ข้าวเหนียว กดให้แน่นเลยค่ะ พับปิดหัวและท้าย ทำเหมือนเดิมอีกห่อแล้วนำมาประกบกัน มัดหัวท้ายด้วยตอกให้แน่น จากนั้นวางเรียงลงบนตะแกรงแล้วนำไปนึ่งประมาณ 40 – 60 นาทีจนข้าวเหนียวสุกดี ครบเวลาแล้วนำออกมาทานตอนอุ่น ๆ ได้เลย (สำหรับใครที่ทำทานจำนวนไม่มากสามารถใช้เป็นหม้อนึ่งไฟฟ้าได้นะคะ)
8. ข้าวเหนียวเปียกลำไย
ถัดมาเป็นเมนูของหวานรสชาติอร่อยชื่นใจ ข้าวเหนียวเปียกลำไยเป็นอาหารหวานโบราณที่อาจจะหาทานได้อยากในปัจจุบันค่ะ นอกจากนี้เมนูนี้จะอร่อยที่สุดก็ต้องเป็นช่วงที่ลำไยกำลังบูมค่ะ เพราะถ้าเรานำลำไยตามฤดูกาลมาใช้จะได้รสชาติหอมหวานกว่าปกติและยังมีราคาถูกกว่าอีกด้วย ในส่วนของรสชาติขอบอกว่าอร่อยม๊ากกกกกก ข้าวเหนียวจะนุ่มหนึบ เข้ากับลำไยรสชาติหวาน ๆ ราดหน้าด้วยน้ำกะทิเค็มมันช่วยให้รสชาติอร่อยกลมกล่อมมากขึ้น ยิ่งได้แช่ข้าวเหนียวเปียกลำไยให้เย็นหน่อย ๆ แล้วมาราดด้วยน้ำกะทิอุ่น ๆ เป็นการผสมผสานที่ฟินสุด ๆ
วัตถุดิบข้าวเหนียวเปียกลำไย
- ลำไย
- ข้าวเหนียว
- น้ำตาล
- เกลือ
- กะทิ
- น้ำเปล่า
วิธีทำข้าวเหนียวเปียกลำไย
ก่อนอื่นนำลำไยมาล้างทำความสะอาดหลาย ๆ น้ำ จากนั้นปอกเปลือกและคว้านเอาเมล็ดออก แนะนำให้ใช้มีดปอกผลไม้ผ่าครึ่งลำไยทั้งเปลือก จากนั้นแกะเปลือกแล้วดึงเนื้อออกจะช่วยประหยัดเวลาได้เยอะค่ะ แต่ลำไยที่ได้จะไม่เป็นลูกสวยสักเท่าไหร่ จากนั้นพักไว้ก่อน หันมาล้างทำความสะอาดข้าวเหนียวหลาย ๆ รอบจนน้ำใส พักให้สะเด็ดน้ำ
ตั้งกระทะหรือหม้อ เปิดไฟกลางค่อนแรง จากนั้นเราจะใส่น้ำลงไปพอประมาณค่ะ กะให้เยอะกว่าข้าวเหนียวประมาณ 2 เท่า ต้มจนน้ำเดือดแล้วใส่ข้าวเหนียวลงไป คอยคนอยู่ตลอดจนเมล็ดข้าวเริ่มสุก ระวังไม่ให้ข้าวไหม้ติดก้นหม้อด้วยนะคะ หลังจากคนไปเรื่อย ๆ ข้าวจะเริ่มสุกพอง ยางข้าวเหนียวจะทำให้น้ำเหนียวขึ้น แต่ระวังไม่ให้ข้าวสุกบนเมล็ดบานแตกนะคะ ตรงนี้ต้องคอยสังเกตนิดนึง
ข้าวเหนียวสุกดีแล้วเราจะเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาล กะให้หวานพอดี ๆ นะคะเพราะเดี๋ยวจะมีความหวานของลำไยเพิ่มเข้ามาอีก ใส่เกลือตัดรสชาติอีกนิด คนไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายหมดดี ชิมรสชาติก่อนเล็กน้อย จากนั้นใส่เนื้อลำไยลงไปเลยค่ะ คนเบา ๆ ให้ลำไยและข้าวเหนียวเข้ากันดี ปิดเตาพักให้หายร้อน
หยิบหม้ออีกหนึ่งใบตั้งเตา เปิดไฟกลางค่อนอ่อน ใส่เกลือลงไปพอประมาณกะให้มีรสชาติเค็มอ่อน ๆ จากนั้นคนให้เลือกละลายและน้ำกะทิเริ่มจะเดือด ตอนนี้เราจะปิดไฟแล้วยกหม้อลงเลยค่ะ คนให้หายร้อนอีกหน่อย จากนั้นตักข้าวเหนียวเปียกลำไยใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ำกะทิแล้วจัดเสิร์ฟได้เลย
9. ข้าวเหนียวแก้ว
ข้าวเหนียวแก้วเป็นเมนูของหวานที่มักจะทำเลี้ยงพระในงานมงคลต่าง ๆ เชื่อกันว่าการทำข้าวเหนียวแก้วถวายพระจะช่วยให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่นเหมือนลักษณะของข้าวเหนียวค่ะ ซึ่งวิธีการทำเมนูนี้นั้นไม่ยากไม่เลยเพราะข้าวเหนียวแก้วก็คือข้าวเหนียวมูนรสหวานนั่นเอง เราจะนำข้าวเหนียวมูนมากวนด้วยน้ำตาลและน้ำกะทิจนสุกใส หลังจากวางพักไว้ข้าวเหนียวจะแข็งตัวขึ้นและคงรูป สามารถตัดแบ่งทานได้ ข้าวเหนียวแก้วจะมีรสชาติหวานหอม สัสันสวยงาม เนื้อข้าวเหนียวนุ่มละมุน สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าข้าวเหนียวมูนค่ะ
วัตถุดิบข้าวเหนียวแก้ว
- ข้าวเหนียว
- น้ำใบเตย
- งาขาวคั่ว
- น้ำตาล
- กะทิ
วิธีทำข้าวเหนียวแก้ว
ก่อนอื่นเราจะต้องล้างข้าวเหนียวให้สะอาดก่อนค่ะ นำข้าวเหนียวมาล้างหนึ่งรอบและขัดด้วยสารส้มก้อนใหญ่ ๆ เพื่อช่วยให้ข้าวเหนียวขึ้นเงาสวย จากนั้นล้างข้าวเหนียวอีกประมาณ 2 – 3 รอบแล้วแช่ข้าวเหนียวทิ้งไว้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ ครบเวลาแล้วนำข้าวเหนียวมานึ่งจนสุก
ข้าวเหนียวใกล้จะสุกได้ที่แล้วเราจะเริ่มทำน้ำกะทิมูนกันต่อ เริ่มจากเทน้ำกะทิใส่หม้อ จากนั้นใส่น้ำตาลลงไปพอประมาณ เติมเกลือตัดรสชาติแล้วคนจนน้ำตาลละลายดีค่ะ ไม่ต้องนำขึ้นตั้งไฟนะคะ หลังจากนั้นเทข้าวเหนียวที่สุกได้ที่ลงไปในน้ำกะทิตอนที่กำลังร้อน ๆ เลยค่ะ คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีแล้วปิดฝาเพื่อปล่อยให้ข้าวเหนียวได้ดูดซึมน้ำกะทิค่ะ
ครบเวลาแล้วข้าวเหนียวจะดูดซึมน้ำกะทิจนพองตัวเต็มที่ จากนั้นนำหม้อที่มูนข้าวเหนียวขึ้นตั้งบนเตาเลยค่ะ เปิดไฟกลางแล้วใส่น้ำตาลลงไปตามความหวานที่ชอบ ใส่เยอะหน่อยนะคะ จากนั้นตามด้วยน้ำใบเตยค่ะ กวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนน้ำตาลละลายและน้ำงวดลงค่ะ ต้องกวนช้า ๆ ตลอดเวลานะคะ กวนต่อจนน้ำงวดและข้าวเหนียวขึ้นเงาสวย ไม่ต้องกวนจนแห้งมากนะคะ จากนั้นตักข้าวเหนียวใส่ถาดหรือภาชนะก้นแบน เกลี่ยหน้าข้าวเหนียวให้เรียบเสมอกันแล้วพักทิ้งไว้ให้เย็นสนิทเลยค่ะ เมื่อเย็นแล้วข้าวเหนียวจะแข็งตัวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเราจะตัดแบ่งข้าวเหนียวเป็นชิ้นตามต้องการ โรยงาเล็กน้อยแล้วจัดเสิร์ฟได้เลยค่ะ
10. ข้าวแต๋นน้ำแตงโม
ปิดท้ายด้วยอาหารแปรรูปที่ทำครั้งเดียวสามารถทานได้ทั้งปี นั่นก็คือข้าวแต๋นนั่นเอง วันนี้เราจะทำข้าวแต๋นน้ำแตงโมทานกันค่ะ ข้าวแต๋นของเราจะมีสีสันสวยงามน่ารับประทาน ข้าวสีชมพูอมส้มหน่อย ๆ ราดหน้าด้วยน้ำตาลเคี่ยวหวาน ๆ รสชาติกลมกล่อม เป็นอีกหนึ่งขนมทานเล่นที่ทานตอนไหนก็เพลินสุด ๆ หรือถ้าเพื่อน ๆ คนไหนไม่ชอบราดน้ำตาลหวาน ๆ จะเปลี่ยนมาคลุกเกลือหรืออัพเกรดเป็นคลุกธัญพืชหรือหมูหยองก็ได้ค่ะ
วัตถุดิบข้าวแต๋นน้ำแตงโม
- ข้าวเหนียว
- แตงโม
- น้ำตาลมะพร้าว
- เกลือ
- น้ำผึ้ง
- น้ำมันพืช
วิธีทำข้าวแต๋นน้ำแตงโม
ล้างทำความสะอาดข้าวเหนียวแล้วนำไปนึ่งจนสุกค่ะ ระหว่างรอหันมาคว้านเอาเนื้อแตงโม แคะเมล็ดออกให้หมดแล้วนำเข้าเครื่องปั่น ปั่นจนได้น้ำแตงโมเนื้อเนียนแล้วนำมากรองใส่ภาชนะ เติมเกลือเล็กน้อยคนให้เกลือละลายดีค่ะ ข้าวเหนียวสุกได้ที่แล้วเทใส่น้ำแตงโมตอนที่กำลังร้อน ๆ มูนให้เข้ากันแล้วพักไว้ให้ข้าวเหนียวดูดน้ำแตงโมเข้าไปค่ะ
ข้าวเหนียวดูดน้ำแตงโมได้ที่แล้วเราจะมาขึ้นรูปกันค่ะ เริ่มจากหาพิมพ์ที่เป็นวงกลมหรือรูปร่างตามชอบเลย จากนั้นทาน้ำมันบาง ๆ บนพิมพ์และภาชนะที่จะใช้ตาก เอานิ้วจุ่มน้ำเล็กน้อยแล้วหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาอัดใส่พิมพ์ อัดเบา ๆ นะคะไม่ควรกดแน่นเกินไปเพราะเดี๋ยวข้าวจะไม่ขึ้นฟู เอาแค่พอเป็นรูปร่างก็พอค่ะ จากนั้นตากข้าวเหนียวทิ้งไว้จนแห้งสนิท แนะนำให้ทำช่วงหน้าร้อนหรือช่วงที่มีแดดจัด ๆ นะคะเพราะถ้าชื้นข้าวเหนียวอาจจะขึ้นราได้นะ
ข้าวเหนียวแห้งได้ที่แล้วเราจะเก็บมาใส่กล่องภาชนะไว้ แบ่งส่วนหนึ่งออกมาทอด เคล็ดลับก็คือขั้นตอนแรกเราจะเร่งไฟให้น้ำมันร้อนจัดก่อนค่ะ จากนั้นเบาเป็นไฟกลางแล้วใช้ที่คีบอาหารคีบแผ่นข้าวเหนียวจุ่มลงไปในน้ำมัน ส่ายไปมาเล็กน้อยให้ข้าวเหนียวฟูขึ้นมาแล้วค่อยปล่อยค่ะ ข้าวจะสุกเร็วมาก ๆ เลย กลับด้านให้ข้าวสีสม่ำเสมอกันแล้วตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมันค่ะ
ต่อมาเราจะทำน้ำตาลเคี่ยวกัน เริ่มจากใส่น้ำตาลมะพร้าวลงในหม้อ ใส่เกลือเล็กน้อย น้ำผึ้งนิดหน่อย น้ำเปล่าอีกนิด จากนั้นยกขึ้นตั้งบนเตาเปิดไฟกลางค่อนอ่อนแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ หลังจากน้ำตาลละลายดีแล้วเราจะเคี่ยวต่ออีกหน่อยจนได้สีเข้มตามต้องการ ระวังไม่ให้เข้มมากนะคะเดี๋ยวน้ำตาลไหม้แล้วจะขม ยกลงจากเตาแล้วคนต่อสักพักเพื่อระบายความร้อน หลังจากน้ำตาลเริ่มอุ่นแล้วจึงจะนำมาราดลงบนแผ่นข้าวเหนียวค่ะ พักให้ข้าวแต๋นหายร้อนสนิทแล้วจึงจะนำมารับประทานได้
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับ 10 เมนูข้าวเหนียวที่เรานำมาฝากเพื่อน ๆ แต่ละเมนูนี่ทั้งอร่อยและทำง่ายแน่นอนค่ะ วันนี้มีครบทั้งอาหารคาวและอาหารหวานเลย เพื่อน ๆ เห็นมั้ยคะว่าข้าวเหนียวเนี่ยนอกจากจะจิ้มส้มตำหรือลาบแล้วยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นเมนูที่อร่อยและน่าสนใจได้อีกเยอะแยะเลย เมนูที่เรานำมาฝากนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะเพราะยังมีเมนูข้าวเหนียวอร่อย ๆ อีกมากมายที่รอให้เพื่อน ๆ ได้ลองทำและชิมรสชาติค่ะ สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบการทำอาหารโดยเฉพาะขนมหวาน เรายังมีบทความสูตรเมนูขนมหวานให้เพื่อน ๆ ได้อ่านอีกมากมายเลย ไม่ว่าจะเป็นเมนูขนมหวานจากไข่, คุกกี้, บราวนี่ หรือเมนูอร่อย ๆ จากผัก, อาหารทะเล, หมูสามชั้น, ยำรสเด็ด, กับแกล้ม หรืออาหารต่างชาติย่างอาหารญี่ปุ่น, อาหารเกาหลี, สปาเกตตี้ และแซนด์วิชก็มีค่ะ ลองแวะเข้าไปอ่านดูกันนะคะ